มาร-พุทธะ -จิตหนี่ง
ในบรรดาคำสอนเปรียบเทียบในทางพุทธศาสนา ไม่มีประโยคใดกินใจคนพุทธไปเกินกว่าคำในพุทธฝ่ายมหายานที่ว่า ** มารคือพุทธะ ** ประโยคนี้ มันช่างกินใจคนไทยพุทธเป็นอันมาก ทีมิอาจจะยอมรับคำสอนเช่นนีได้ และ ประโยคนี้ก็ไม่มีในพระไตรปิฏกเถรวาทอีกเช่นกัน
แต่ถ้าเพียรภาวนาเดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ หมั่นเจริญสติปัฏฐาน 4 อย่างต่อเนือง จนเกิดจิตตั้งมั่นได้เมื่อไร นักภาวนาก็ย่อมจะพบความจริงในคำสอนของพุทธมหายานนี้ด้วยตัวเอง
มาร จะเป็น พุทธะ ได้อย่างไรกัน อ่านต่อไปครับ
ท่านรู้จักหนังกลางแปลงไหมครับ (ขอให้ดูภาพประกอบ)
เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักหนังกลางแปลง หนังกลางแปลงนี้ ก็คือ การฉายภาพยนต์ที่ทุ่งกว้าง ไม่มีอาคารของโรงภาพยนต์ อาศัยความมืดในเวลาค่ำคืนเป็นโรงหนัง อุปกรณ์ทีใช้ ก็จะมี จอผ้าสีขาวขนาดใหญ๋ทีขึงอยู่ เครื่องฉายภาพยนต์ แผ่นฟิลม์ภาพยนต์ คนภาคย์หนัง ดังภาพด้านซ้ายมือของภาพประกอบ
เมื่อเวลาค่ำคืนมาถีง คนฉายก็จะฉายหนังจากเครื่องฉายหนังแล้วภาพของภาพยนต์ก็จะปรากฏอยู่บนจอผ้าทีขาวที่ขึงอยู่ คนดูก็เห็นภาพของภาพยนต์เคลื่อนไหวไปมาบนจอผ้าสีขาวนั้น ดังภาพด้านขวามือของภาพประกอบ
ท่านจะเห็นว่า ถ้าไม่จอผ้าขาวทีขีงไว้ ก็จะไม่มีภาพของภาพยนต์ปรากฏให้เห็นได้
ในการภาวนานั้น เมื่อนักภาวนาได้ลงมือฝีกฝนสติปัฏฐานตามอริยมรรคมีองค์ 8 อันมีแก่นคือ อริยสัจจ์ 4 เป็นสิ่งนำทาง ซีงผมขอเรียกง่าย ๆ ว่า การฝีกรู้ทุกข์ด้วยการละตัณหา
ผลแห่งการฝีกรู้ทุกข์ด้วยการละตัณหานั้น สิ่งทีนักภาวนาจะพบได้ทันทีก็คือ ทุกข์ ทีปรากฏให้จิตไปรับรู้ได้ แต่ในระดับต้นนี้ นักภาวนาจะไม่รู้จักตัวจิต แต่จะรู้จักแต่เพียง ทุกข์ ทีมีแปรเปลี่ยนไปมาเป็นไตรลักษณ์ ดังภาพของภาพยนต์ทีปรากฏบนจอหนังกลางแปลงสีขาว
นักภาวนาทีขาดผู้นำทางทีตรงทางแห่งมรรคจะยากมาก ๆ ทีจะสามารถภาวนาจนไปพบ*จิต*ได้ หรืออาจพบได้ แต่ก็ต้องมาจากวาสนาของตัวเองโดยแท้ และใช้เวลานานมากกว่าการมีผู้นำทาง
จิต คือ อะไร..... จิตคืออะไรก็ไม่รู้ แต่นักภาวนาจะพบว่า จิตนี่มีสภาวะแห่งความว่างเปล่า ไม่มีอะไร แต่มีเพียงสภาวะแห่งการรู้ปรากฏให้สัมผัสได้เท่านั้น ซี่งในพุทธเถรวาทของไทย ก็จะสอนว่า การเป็น พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ซี่งเมื่อนักภาวนาพบจิตได้ ก็จะเข้าใจได้เองว่า อ๋อ จิตคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นีเอง ซี่งก็คือ จิตเป็นสภาวะของพุทธะ
ในคำสอนในพระไตรปิฏกของเถรวาท มีสอนว่า ธรรมชาติของจิตนั้นประภัสสร (คือผ่องใส) แต่ทีเศร้าหมองเพราะมีอุปกิเลสจรเข้ามา ซี่งครูบาอาจารย์ในสายเถรวาทก็มักจะเปรียบเทียบเหมือนท้องฟ้าทีเคยสดใส แล้วมีเมฆหมอกเข้ามา ทำให้ท้องฟ้าทีสดใสนั้นไม่สดใสดังปกติ
แต่สอนอย่างไร นักภาวนาก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ ถ้านักภาวนายังไม่มี **สัมมาญาณ**
สัมมาญาณ นี้เป็นญาณปัญญาในระดับโลกตุระ ซี่งเมื่อเกิดแก่นักภาวนาแล้ว นักภาวนาจะมีความสามารถทีจะเห็นจิตทีประภัสสรได้ ซี่งครูบาอาจารย์ในพุทธเถรวาทบางรูป ก็จะสอนว่า ***ให้ฝีกจนเกิดญาณเห็นจิตให้เหมือนดั่งตาที่เห็นรูป***
เมื่อนักภาวนามี สัมมาญาณ เห็นจิตทีประภัสสรได้แล้ว ก็จะพบความจริงว่า จิตปรุงแต่งทีเป็นสังขารขันธ์ในขันธ์ 5 นั้นทีแท้มันเกิดมาจากจิตนี่เอง
ซี่งถ้าสังขารขันธ์คือมารแล้ว และ จิตคือพุทธแล้ว มารก็คือพุทธ เพราะมารมาจากจิต ซี่งจะเหมือนกับจอของหนังกลางแปลงทีเป็นทีเกิดของภาพของภาพยนต์
คำสอนของพุทธมหายานนี้ทีว่า มารคือพุทธะ มาจากท่านนั้นเขาภาวนาถีงสัมมาญาณ แล้วได้เห็นความจริงของธรรมชาตินี้แล้ว
การพบสังขารขันธ์ในขันธ์ 5 ทีเป็นสภาวะของปรมัตถธรรมเป็นสิ่งทียากยิ่ง แต่สัมมาญาณทีพบจิตนั้นเป็นสิ่งทียากยิ่งกว่า และการรู้เห็นว่า มารคือพุทธะ เป็นสิ่งทียากทีสุด
เมื่อนักภาวนาเกิดสัมมาญาณและเป็นสัมมาญาณทีทรงพลัง ตั้งมั่นอยู่ จิตจะประภัสสรผ่องใสซี่งเห็นได้จริง แต่สังขารขันธ์ทีเกิดขึ้นก็จะพบว่ามันเป็นไตรลักษณ์แปรเปลียน เกิดดับไม่รู้จักจบสิ้น จิตทีประภัสสรจะมีความสามารถที่ไม่ยีดติดในสังขารขันธ์ นีคือการสิ้นไปของตัณหาในจิต จิตเป็นจิตทีประภัสสร อิสระจากสิ่งทั้งปวง แต่รับรู้ได้ถีงสภาวะธรรมต่าง ๆ ทีปรากฏขึ้นได้ แต่ไม่ยีดติดในสภาวะธรรมนั้น ๆ เลย
มันไม่ใช่ของง่ายทีจะเดินไปได้ถีงในระดับนี้ แต่เมื่อมีผู้เดินทางได้ถีงแล้วทีพิสูจน์ได้ด้วยคำกล่าวทีว่า จิตคือพุทธ และ มารและพุทธะเป็นสิ่งเดียวกัน ทุก ๆ ท่านก็มีสิทธิเดินทางได้ถีงเช่นกัน เพียงแต่ลงมือภาวนาด้วยการรู้ทุกข์ทีละตัณหาเสมอ ๆ
ในครูบาอาจารย์ของพุทธเถรวาทในไทย มีบางท่านสอนว่า ให้อยู่กับรู้ ซี่งก็คือ การรู้เห็นจิตประภัสสรอยู่ เมื่อจิตไปรู้จิตทีประภัสสรผ่องใสอยู่ การปรากฏขึ้นของอายตนะย่อมยังมีอยู่ ทำงานได้อยู่ แต่จะไร้ซีงสังขารขันธ์ในขันธ์ 5 นีคือสภาวะของจิตล้วน ๆ ทีไร้ขันธ์ หรือในพระไตรปิฏกเถรวาทเรียกว่า จิตหนี่ง
คำสอนของครุบาอาจารย์รุ่นเก่า ๆ มักจะแหลมคมซี่งแฝงไปด้วยปรัชญาแห่งปัญญาญาณ นักภาวนาทีกำลังเดินทางมิอาจหยั่งรู้ได้ การรีบด่วนสรุปว่า คำสอนเหล่านั้นช่างผิดทางไม่มีการกล่าวอ้างในตำรา ย่อมจะปิดกั้นปัญญาของตัวนักภาวนาเอง
Create Date : 04 ธันวาคม 2556 |
Last Update : 4 ธันวาคม 2556 16:09:57 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2633 Pageviews. |
|
|