รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มกราคม 2565
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
27 มกราคม 2565
 
All Blogs
 
ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ) คืออะไร เกิดได้อย่างไร

1...บทความเรื่อง " ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ )  คืออะไร เกิดได้อย่างไร  " 
เขียนขึ้นจากความเข้าใจส่วนตัวของผู้เขียน ท่านที่เข้ามาอ่าน
ขอแนะนำให้อ่านแล้วพิจารณาด้วยปัญญา

2..ธรรมจักษุ คือ การเห็นของจิตผู้รู้ ที่ไปเห็นอาการไตรลักษณ์ของ "รูปปรมัตถ์ ของขันธ์ 5 "
ที่ปรากฏขึ้นที่ ."เรือน"
คำว่า  "เรือน" เป็นคำที่ปรากฏในพระไตรปิฏก  เมื่อตอนที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ ๆ 
ขอให้อ่านเรื่อง  เจ้าชายสิทธัตถะทรงรู้อะไรในคืนวันตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  
ที่ ลิงค์   
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=16-12-2019&group=17&gblog=182

3...ในปุถุชน  จิตผู้รู้ ถูกแรงตัณหาดึงดูดเข้าไปใน"เรือน"  เมื่อขันธ์ 5 ที่เป็นรูปปรมัตถเกิดที่ "เรือน"
ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ จิตผู้รู้ ก็จะได้รับทุกข์ที่เกิดขึ้นจากขันธ์ 5
ผลอีกอย่างก็คือ เมื่อ จิตผู้รู้ ถูกดูดเข้าไปใน"เรือน"แล้ว เมื่อเกิดการปรุงแต่งของขันธ์ 5
ขึ้น การปรุงแต่งที่เกิดขึ้นนี้ จะตั้งอยู่ได้ยาวนาน ดับลงไปได้ยาก
เช่น ถ้าเป็นอารมณ์โกรธเกิดขึ้น ก็จะโกรธอยู่นาน กว่าจะดับลงไปได้

นี่คือ เหตุผลที่พระพุทธองค์จึงทรงตรัสสอนว่า เหตุแห่งทุกข์ ( สมุทัย ในอริยสัจจ์  4 ) ก็คือ ตัณหา

4...การหลุดออกจากตัณหาได้ จะมีได้ 2 วิธี คือ
วิธีที่ 1..เป็นการหลุดออกมาด้วยกำลังของสัมมาสมาธิ  ซึ่งแบบนี้ ปุถุชนที่เจริญสติปัฏฐานอย่างถูกต้องอยู่เสมอ จะเกิดสัมมาสมาธิขึ้นได้อย่างช้า ๆ  (ช้ามาก ๆ อาจเป็นเดือน ๆ หรือเป็น ปี ๆ  ) เมื่อสัมมาสัมาธิ มีพลังที่มากพอ ก็จะต้านแรงดูดของตัณหาได้ 

ในปุถุชน เมื่อเกิดการปรุงแต่งเกิดขึ้นที่เรือนอย่างรุนแรง เช่น มีอารมณ์โกรธเกิดขึ้น ถ้ามีกำลังของสัมมาสมาธิที่มากพอ จิตผู้รู้ จะหลุดออกมาจากเรือนได้ แล้ว จิตผู้รู้ จะไปเห็น รูปปรมัตถของอารมณ์โกรธได้ เป็นก้อนพลังงานปรากฏอยู่ที่ เรือน 
พอจิตผู้รู้ หลุดออกจากเรือน ก็จะเห็นก้อนพลังงานนี้ได้ ก้อนพลังงานนี้ ที่เรียกว่า อารมณ์โกรธ ก็จะดับสลายลงไปเป็นไตรลักษณ์ ให้เห็นได้  การดับสลายเป็นไตรลักษณ์ได้นี้ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ปานสายฟ้าแลบ เสี้ยววินาทีเดียวก็ดับสลายไปแล้ว

อาการที่จิตผู้รู้ เห็นได้แบบนี้ เป็นการเห็นไตรลักษณ์ของขันธ์ 5  จึงจะเรียกว่า เกิด นามรูปปริเฉทญาณ อันเป็น วิปัสสนาขั้นที่ 1 ใน วิปัสสนา 16 ชั้น
แต่ถ้าไม่เห็น ก็ยังไม่ใช่ วิปัสสนาขั้นที่ 1

การเห็นของจิตผู้รู้นี้ เป็นสิ่งสำคัญที่จะบอกได้ว่า ท่านภาวนาได้ผลหรือยัง
ถ้าท่านภาวนามาหลายปี  ไม่เคยเห็นไตรลักษณ์สลายไปอย่างจะ จะ แบบนี้
แสดงว่า ท่านเสียเวลาไปเปล่า ๆ   ท่านยังไม่ได้ผลในการภาวนาเลย แม้แต่นิดเดียว

นักธรรมที่เรียนมาจากตำรา มักเข้าใจว่า ตนได้พบไตรลักษณ์แล้ว
รู้จักไตรลักษณ์ของขันธ์ 5 แล้ว แต่ในความเป็นจริง การรู้จากการอ่านตำรามา
ยังเป็นระดับจินตมยปัญญา ยังไม่ใช่การเห็นไตรลักษณ์ที่แท้จริงเลย
ยังไม่เกิดผลใด ๆ ในด้านภาวนามยปัญญา

การเห็นไตรลักษณ์ของขันธ์ 5 ของจิตผู้รู้ ได้บ่อย ๆ  เห็นได้หลาย ๆ ครั้ง
อาจเป็น หลายร้อยครั้งขึ้นไป  แล้ว จิตผู้รู้ จะเกิด สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นระดับฌานขึ้นมาได้
การตั้งมั่นระดับฌานแบบนี้ จะเป็น สัมมาฌาน หรือ ฌา่นแบบพุทธ
เมื่อจิตตั้งมั่นระดับฌานได้ นักปฏิบัติ จะสามารถพบจิตผู้รู้ได้ และ เห็นได้ด้วยดวงตาเห็นธรรม
ว่า จิตผู้รู้ นี้เป็นดวงปรากฏอยู่ ถ้าไปมองที่ตัวจิตผู้รู้

ถ้ายังไม่พบจิตผู้รู้ที่เป็นดวงปรากฏอยู่ ก็ยังไม่ได้สัมมาสมาธิระดับฌาน นี่เป็นวิธีตรวจสอบได้ว่า
การภาวนาของท่านมาถึงจุดนี้ได้หรือยัง

ในการปฏิบัติในยุคนี้  มีการปฏิบัติฌานแบบฤาษี ที่ไปเพ่งอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่
การเห็นไตรลักษณ์ของขันธ์ 5  ฌ่านแบบฤ่าษีนี้ จะไม่ตั้งมั่นถาวร พอเลิกเพ่งก็จะหลุดออกจากฌาน
แต่อาการตั้งมั่่นของ สัมมาฌานแบบพุทธนี้ ถ้าตั้งมั่นแล้ว จะตั้งอยู่ได้เอง
โดยไม่ต้องไปเพ่งอะไรเลย

สิ่งที่เลวร้ายของฌานฤาษีก็คือ ตัวจิตผู้รู้กลับไปติดแน่นมากขึ้นด้วยแรงตัณหาที่ เรือน
ทำให้ยิ่งเพิ่มความยากในการหลุดออกจากเรือนต่อไปในอนาคต

ถ้าใครมีคนรู้จักนักปฏิบัติ ที่เจริญฌานแบบฤาษี ก็จะพบได้ในความจริงว่า   
อารมณ์ของคนที่เจริญณานแบบฤาษี
จะรุนแรงมากในด้านอารมณ์โกรธ 
หมายเหตุ คนที่เจริญฌานฤาษี มักไม่รู้ตัวเองว่า ตัวเองมีอารมณ์ที่รุนแรงกว่าคนธรรมดาทั่วไป

นี่คือความต่างของ ฌานแบบพุทธ และ ฌานแบบฤาษี

ถ้าว่ากันตามตำรา การเห็นไตรลักษณ์ของรูปปรมัตถของขันะ์ 5 แบบนี้ได้ ก็คือ จิตจะเข้าสู่ระดับโสดาบัน

วิธีที่ 2  เป็นการหลุดออกด้วยปัญญาญาณ  วิธีนี้ จะเป็นการต่อยอดจากแบบที่ 1
ในแบบที่ 1 นี้ เมื่อได้สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นระดับฌาน ตัวจิตผู้รู้ จะปรากฏขึ้นเป็นดวงขึ้น เพราะเป็นสมาธิแบบฌาน   
ให้นักภาวนา เจริญญาณ เพื่อสลายดวงของจิตผู้รู้  (วิธีเจริญ ญาณ จะสอนกันไม่ได้ เป็นความรุ้เฉพาะตน นักภาวนาต้องหาวิธีด้วยตนเองเท่านั้น )  เมื่อ ญาณ เกิดขึ้น จิตผู้รู้ จะปรากฏเป็นความว่างของสุญญตา เมื่อจิตผู้รู้เป็นความว่างเปล่าแบบสุญญตา  ตัณหาก็จะไม่สามารถดึงดูดจิตผู้รู้ได้
ถ้าว่ากันตามตำรา จิตที่เป็นความว่างแบบสุญญัง ก็จะเป็นจิตระดับพระอรหันต์

5..ความยากของการปฏิบัติอยู่ที่ 2 ระดับในข้อ 5 นี้เอง

ยากระดับแรก นั้น สัมมาสมาธิที่จิตผู้รู้เกิดความตั้งมั่นขึ้นได้ เกิดได้ยากและใช้เวลาค่อนข้างนานมาก นานจนหลายๆ ท้อถอย เลิกปฏิบัติไปเลย  และที่ยากมากขึ้น ก็คือ การปฏิบัติที่ผิดทางไปจากสติปัฏฐาน 4  แต่ไปปฏิบัติกรรมฐาน แบบฤาษี โดยการทำจิตนิ่งไม่ไหวติงเข้า  ก็ยิ่งห่างไกลจากการได้ สัมมาสมาธิแบบพุทธออกไปทุกที

ยากระดับสอง การเจริญ ญาณ ที่ยากเพราะไม่รู้วิธีเจริญ ญาณ ตำราก็ไม่มีบอกไว้ คนรู้ก็สอนให้ไม่ได้  ต้องหาเอง ซึ่งจะหาพบหรือไม่ก็ยังเป็นประเด็น 

6..ผู้เขียนหวังว่า บทความนี้ คงให้ประโยชน์และเป็นข้อมูลแก่นักปฏิบัติได้บ้าง
ขอความสวัสดีและเจริญในธรรมจงมีแด่ท่านนักปฏิบัติทุกท่านเทอญ
 


Create Date : 27 มกราคม 2565
Last Update : 27 มกราคม 2565 20:02:25 น. 0 comments
Counter : 699 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.