รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2565
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
3 ตุลาคม 2565
 
All Blogs
 
เส้นทางแห่งมรรค เดินตามเส้นนี้อย่างไร แล้ว จะพบอะไร

1.. บทความเรื่อง "  เส้นทางแห่งมรรค เดินตามเส้นนี้อย่างไร แล้ว จะพบอะไร  "
เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน  ที่ไม่จำเป็นต้องไปเหมือนใคร ท่านที่เข้ามาอ่าน
ผู้เขียนแนะนำว่า อย่าได้เชื่อถือโดยทันที ถ้าท่านไม่ได้ลงมือพิสูจน์ก่อน
.
2..ในเส้นทางแห่งมรรค  ผู้เขียนขอแบ่งไว้มี 3 ระดับดังนี้ (การแบ่งระดับนี้ ผู้เขียนแบ่งเอง
ไม่มีในตำรา )
A...ระดับเบื้องต้น  ระดับนี้ เริ่มจากปุถุชนที่สนใจการภาวนาได้เข้ามาสู่เส้นทางการภาวนา
แล้วการภาวนาได้เริ่มขึ้นไปเรื่อยๆ  จนสามารถพบไตรลักษณ์ของจิตปรุงแต่งได้ และ พบจิตผู้รู้ปรากฏออกมาให้พบได้   
ระดับนี้ จะได้เขียนต่อไปในบทความนี้ให้อ่านกัน
.
B...ระดับกลาง ระดับนี้ เริ่มจากที่ นักภาวนาสมารถพบจิตผู้รู้ได้แล้ว จิตผู้รู้ปรากฏออกมาแล้ว
ต่อมา นักภาวนาจะพบกับอาการทุกข์กายอย่างแสนสาหัส นักภาวนาต้องหาทางแก้ไขอาการทุกข์กายนี้ไปเรื่อยๆ  จนกว่า ทุกข์กายจะเบาบางลงไป และนักภาวนาจะมีปัญญาเกิดขึ้นมาที่รู้ว่า
ทุกข์กายนั้น เกิดได้อย่างไร และ ทุกข์กายทำไมถึงจางลงหรือหายไปได้ และนักภาวนาจะมีความรู้เหมือนแพทย์ที่รักษาทุกข์กายของตนเองได้เอง
.
ถ้านักภาวนามีปัญญารู้แบบนี้ได้ ก็คือ จบระดับกลางได้แล้ว
.
ระดับนี้ จะไม่สามารถเขียนให้อ่านได้  ซี่งนักภาวนาที่เดินทางมาถึงระดับนี้ได้แล้ว ต้องพากเพียร
เรียนรู้ เฝ้าดูอาการของทุกข์กายที่เกิดขึ้น และ หาทางแก้ไขด้วยตนเอง จนสามารถเบาบางอาการของทุกข์กายลงไปเอง ระดับนี้เป็นระดับที่ยากและทรมานมาก เพราะไม่สามารถสอนกันได้ และมีความเจ็บป่วยมารังควาญอยู่เสมอ นักภาวนาต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง แก้ไขด้วยตนเอง ถ้านักภาวนาผ่านระดับนี้ไปไม่ได้ บางคนอาจป่วยหนักถึงขั้นเสียชีวิตได้
.
C...ระดับสูง ระดับนี้ เริ่มจาก นักภาวนาที่สามารถผ่านการแก้ปัญหาทุกข์กายให้เบาลงได้
ไม่หนักหนาสาหัส เหมือนตอนอยู่ในระดับกลาง นักภาวนาต้องเดินทางต่อด้วยตนเอง แล้ว
หาสิ่งที่เรียก "สภาวะของญาณปัญญา และ สภาวะของการรู้ ให้พบ"
 เมื่อ พบได้ทั้งสองอย่างนี้แล้ว ก็หาทางต่อไปว่า จะนำ ญาณปัญญา และ สภาวะของการรู้ มาใช้งานอย่างไร จึงจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในทุกข์อีก
.
ถ้าสามารถหาวิธีการใช้จนพบ นักภาวนาก็จะเป็นผู้ที่ไม่ยีดมั่นถือมั่นในทุกข์อีกต่อไป
แต่ถ้าหาไม่พบ ก็ยังดีกว่า ค้างอยู่ที่ระดับกลางในข้อ B 
ถึงจะมีทุกข์ และยีดทุกข์บ้าง แต่ก็สามารถหลุดทุกข์ออกมาได้โดยไม่ลำบากนัก
ระดับนี้ นักภาวนาต้องเดินทางเอง หาเอง และที่สำคัญที่สุด
ต้องอ่านและพิจารณา กาลามาสูตร 10 นี้ให้ดี
เพราะการเชื่อสิ่งที่กาลามสูตรบอกว่า อย่าได้เชื่อถือ
จะทำให้ติดขัดไม่สามารถเข้าถึงปลายทางแห่งมรรคได้
................................................
3..ต่อไป จะได้เขียนถึง รายละเอียดเส้นทางแห่งมรรค ในระดับเบื้องต้นให้อ่านกัน
เพื่อเป็นแนวทางสำหรับท่านนักภาวนา
.
การปฏิบัติในระดับเบื้องต้นนั้น จะมี 3 แบบ ด้วยกัน
.
>>>>แบบที่ 1 เป็นการฝึกในรูปแบบ
เช่น การนั่งสมาธิ / เดินจงกรม หรือ อะไรก็แล้วแต่
ที่มีสอนกันตามสำนัก หรือ หาอ่านได้ในอินเตอร์เนท
การฝีกแบบนี้ ให้ทำในขณะที่ไม่ได้ทำงานทางโลกอะไรเลย 
จึงสามารถทุ่มเทการฝีกฝนได้เต็มที่
.
การฝีกแบบนี้  จะมีชื่อเรียกกันในวงการภาวนาว่า .. "การฝึกในรูปแบบ"
.
การฝีกในรูปแบบ ควรทำทุกวัน จะมากบ้างน้อยบ้าง ไม่เป็นไร มีเวลา 10 นาที
ก็ฝีกไป 10 นาที ไม่จำเป็นว่า ต้องทำนาน ๆ อยู่ทีว่า  ตัวเราว่างหรือไม่ว่าง
แต่ถีงว่าง การฝึกในรูปแบบ ก็ไม่แนะนำให้ฝีกเกิน 30 นาทีในแต่ละรอบการฝีก
เพราะถ้าฝึกนาน ๆ มากกว่านี้ จะเครียด แต่ตัวเราเองจะไม่รู้ว่าเครียด
พอเครียด ฝีกไปก็ไม่ได้ประโยชน์แล้ว
.
แต่ถ้ามีเวลาว่างมาก ฝีกไป 1 รอบแล้ว 30 นาที ก็ให้พักสัก 1 ชั่วโมงก่อน
แล้วมาฝีกรอบที่ 2 ต่อไปก็ได้
.
ฝีกแบบที่ 1 นี้เป็นสมถะ เพื่อให้จิตมีความคุ้นเคยกับสภาวะธรรม
ของการมีสติ  เพื่อนำทางไปสู่การฝีกแบบที่ 2 ต่อไป
.
นักภาวนาจำนวนมาก มักเข้าใจว่า การฝึกในรูปแบบ ถ้าทำการฝีกติดต่อกันนาน ๆ 
จะทำให้พบธรรม บรรลุธรรมได้ 
ซี่งความเข้าใจแบบนี้ เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
และไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย
เพราะเพียงลงมือฝีก อัตตาตัวตนก็มาทันที แล้วจะพบธรรมได้อย่างไร
.
แต่ที่ต้องฝีก ถึงมีอัตตาตัวตนโผล่มา แต่การฝีก เพื่อให้จิตไปรู้จักกับอาการของสติ
ให้ได้ก่อน ดังนั้น จุดมุ่งหมายของการฝีกฝนในระดับนี้ 
จึงเพื่อให้จิตรู้จักอาการของสติ ไม่ใช่การดับอัตตาตัวตน
การพบธรรมจึงไม่สามารถเกิดได้ ด้วยเหตุนี้
.
>>>> แบบที่ 2  เป็นการฝีกฝนในชีวิตประจำวัน  แบบนี้ 
จะฝีกฝน เมื่อนักภาวนาใช้ชีวิตปกติประจำวันในบ้าน
เช่น รดน้ำต้นไม้ ล้างรถ กวาดบ้าน ถูบ้าน รีดเสื้อ ซักเสื้อ
ตากผ้า อาบน้ำ และ อื่น ๆ  อีกมาก
แบบนี้ ให้ทำงานบ้านไป ก็ฝึกไปด้วยแบบสบาย ๆ  ไม่เร่งรีบ
คล้าย ๆ กับการฝีกฝนในรูปแบบ แต่ให้ทำงานบ้านพร้อมกันไปด้วย
.
การฝีกแบบนี้  พอฝีกแบบที่ 1  ไปบ้างแล้ว
 พอมาฝึกแบบที่ 2 นี้ มักจะเผลอง่าย พอฝึกแบบ 2 ไป
ถ้าขณะใด เกิดเผลอขึ้น แล้วไปรู้ทันว่า เมื่อกี้เผลอไป
ก็จะได้สติ และ ปัญญา ตามมา
.
นักภาวนาอย่าไปทำอะไรไม่ให้เกิดการไม่เผลอขึ้น
ให้ฝีกไปตามที่เขียนไว้ข้างบน
การเผลอที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นครูที่ดีของนักภาวนา
ถ้าเผลอแล้วรู้ทันเผลอได้บ่อยๆ  อีกหน่อย
อาการเผลอจะลดลงไปได้เอง แต่จะลดแบบช้า ๆ 
ค่อยเป็นค่อยไป
.
แต่ถ้าไปทำอะไร เพื่อไม่ให้เกิดเผลอ
ประสบการณ์การรู้ทันการเผลอก็จะไม่มี
แล้วการพัฒนาเรื่องการไม่เผลอ ก็ไม่เกิดขึ้น
.
>>>> แบบที่ 3  เป็นการปฏิบัติวิปัสสนา 
แบบนี้ นักภาวนาไม่ต้องทำอะไรในการฝีกฝนเลย
ให้ทำตัวเป็นธรรมชาติของตัวเองในขณะที่ทำงานหาเลี้ยงชีพ
ให้ลืมเรือ่งการฝีกปฏิบัติไปได้เลย
.
ในการประกอบอาชีพของคนเรา ไม่ว่าทำอะไร
จะมีการคิด การพูด การวางแผนงาน
พูดคุยกับคน ทะเลาะกับคน โต้เถียงกัน
แต่ถ้าเมื่อใด ที่เกิดอาการไม่พอใจขึ้นมา
สิ่งที่ฝีกมาในแบบที่ 1 และ 2  ที่ฝีกมามากพอแล้ว
จะทำให้นักภาวนามีอารมณ์ปรุงแต่งที่แรงๆ โผล่ขึ้นมาเห็นได้ เช่นความโกรธ
พอเห็นอารมณ๋ปรุงแต่งเกิดขึ้นมาปุ๊บ
ก็จะเห็นอารมณ์ปรุงแต่งนั้นดับไปเป็นไตรลักษณ์ได้ทันที อย่างรวดเร็ว
 การเห็นไตรลักษณ์แบบนี้ จะได้ สติ สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นแก่จิต
.
นักภาวนาจะรู้จักแล้วว่า สิ่งที่เป็นไตรลักษณ์ มันเป็นอย่างนี้เอง
ซี่งคนที่ไม่เคยพบไตรลักษณ์ของจริง ก็จะไม่มีวันรู้จัก
มีแต่รู้แบบตำราว่า มันไม่เที่ยง มันแปรปรวน มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา
แล้วก็คิดเอง  ต่าง ๆ นานาว่า เป็นอย่างนี้นะ ซี่งนั้นไม่ใช่ของจริงเลย
.
การฝีกวิปัสสนาแบบนี้ นักภาวนาต้องพร้อมที่จะแลก 
เพราะถ้าเกิดอารมณ์ปรุงแต่งที่รุนแรงเกิดแล้ว
ถ้านักภาวนาไม่เห็นไตรลักษณ์ นั่นคือ ได้แพ้แก่พญามารแล้ว
พญามารก็ลากจิตผู้รู้ไปกิน
นี่เป็นสิ่งธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น ที่พร้อมจะประลองกำลังกับพญามาร
.
ถึงจะแพ้แก่พญามารในแบบที่ 3 ก็ไม่เป็นไร
ฝีกแบบที่ 1 และ 2 ต่อไปเรื่อยๆ  อย่าได้ท้อแท้
ตอนนี้แพ้ พรุ่งนี้แพ้   ในอนาคต อีกหน่อย ก็ชนะได้สัก 1 ครั้ง
แล้วก็จะกลับมาแพ้อีก ถ้านักภาวนาไม่ท้อถอย ฝีกต่อไป
นี่คือ การมีความเพียร ที่ไม่ย่อท้อกับการประลองกำลังกับพญามาร
ก็จะกลับมาชนะได้อีก พอชนะได้อีกหลาย ๆ  ครั้งมาก ๆ 
 จิตจะมีพลัง สติ สมาธิ ปัญญาเพิ่มขึ้นมากทีเดียว
แล้วต่อไป การประลองกำลังกับพญามาร
นักภาวนาจะชนะได้บ่อยขึ้น แต่ก็ยังมีโอกาสแพ้ได้อยู่ดี และ
ลดความถี่ของการแพ้ลงไปได้ 
ขอเพียง ให้ฝีกฝนต่อไปแบบนี้ 1 /2 /3 ไปเรื่อยๆ  
แล้ว สติ สมาธิ ปัญญา ก็จะค่อย ๆ  เพิ่มขึ้นเองต่อไป
จนวันหนี่ง ก็สามารถพบจิตผู้รู้ ที่โผล่ปรากฏตัวขึ้นมาให้พบได้เอง
เมื่อ จิตผู้รู้ ปรากฏให้พบได้ใหม่ ๆ  จิตผู้รู้ ก็จะหายไปได้อีกเช่นกัน
ให้ฝีกแบบเดิมไปเรื่อย ๆ คือ ฝีกแบบ 1 /2 /3
แล้ว จิตผู้รู้ ก็จะปรากฏอยู่ได้ยาวนานมากขึ้นไปเรื่อยๆ  
.
เมื่อมีจิตผู้รู้ปรากฏตัวขึ้นมาใด้ระยะหนี่ง แล้วต่อไป จะพบอาการทุกข์กาย
ปรากฏขึ้น ให้นักภาวนาก็จะเดินทางเข้าสู่ระดับกลางต่อไป
(ขอให้ย้อนกลับไปอ่านเรื่อง ระดับกลาง ข้างบน เพื่อทบทวนเรื่องราว)
.
4...ผู้เขียนหวังว่า บทความนี้ คงเป็นประโยชน์บ้างแก่นักาภวนาผู้ที่กำลังเดินทางแห่งมรรคนี้
ระดับเบื้องต้น .....สติ / สมาธิ / ปัญญา
ระดับสูง ......ญาณปัญญา /สภาวะรู้ / กาลามาสูตร
 


Create Date : 03 ตุลาคม 2565
Last Update : 3 ตุลาคม 2565 16:39:55 น. 0 comments
Counter : 505 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.