1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30
จิตปรุงแต่งถ้าไม่ดับเป็นไตรลักษณ์ อย่าได้ทิ้งค้างไว้นาน
จิตปรุงแต่งถ้าไม่ดับเป็นไตรลักษณ์ อย่าได้ทิ้งค้างไว้นาน เมื่อท่านลงมือฝีกฝนตามที่ผมได้แนะนำไว้ โดยการรู้ทุุกข์ที่ไร้ตัณหา โดยเริ่มจากการรู้กายที่ไม่ยีดติด ผลจากการฝีกแบบนี้ จิตของท่านจะมีกำลังเพิ่่มขึ้นซี่งก็คือมีความตั้งมั่นมากขึ้น ผลแห่งจิตที่ตั้งมั่นมากขึ้น ก็คืออาการที่จิตแยกตัวออกจากสังขารขันธ์ในขันธ์ 5 ได้ ทำให้ท่านเริ่มจะมีความสามารถเห็นจิตปรุุงแต่ง หรือ บางท่านก็เรียกจิตปรุงแต่งว่า ความคิด ซี่งหลวงพ่อเทียนมักพูุดว่า การเห็นความคิดได้ จิตปรุงแต่งที่นักภาวนาเห็นได้นั้น อาจมีรูปร่างหน้าตาได้หลายๆ แบบ แล้วแต่การปรุงแต่งของนักภาวนาเอง แต่สรุุปรวมแล้ว มันคือพลังงานที่เกิดขึ้นเพราะการปรุุงแต่งของจิต เมื่อนักภาวนามีจิตทียังไม่ตั้งมั่นมากพอ หรือ จิตยังติดข้องด้วยตัณหาอยูุ่บ้าง เมื่อเกิดจิตปรุงแต่งขึ้น นักภาวนาจะเห็นได้ก็ดีอยู่ แต่...อาการของจิตปรุงแต่งไม่ยอมดับไปทันทีอย่างรวดเร็ว แต่เกิดค้างให้เห็นได้อยูุ่เป็นเวลาพอสมควร บางครั้งก็นานกว่าจะดับ บางครั้งก็ไม่นานนักก็ดับไป เมื่อจิตปรุงแต่งค้างนานไม่ยอมดับลงไปอย่างรวดเร็ว ผลเสียที่ตามมาก็คือ ปัญหาด้านสุขภาพของตัวนักภาวนาเอง พลังงานนี้ จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยทางร่างกาย เวียนศรีษะ ปวดศรีษะ อาเจียร หรือ นอนไม่หลับ เครียด และ อื่น ๆ อีกหลายอย่าง การเห็นจิตปรุงแต่งได้ของนักภาวนาเป็นสิ่งที่ดี เพราะนี่คือปัญญาของจิตที่จะทำให้จิตมีกำลังพัฒนาเติบโตต่อไป แต่ถ้าเห็นแล้วมันค้างไม่สลายเป็นไตรลักษณ์อย่างรวดเร็ว นี่คือปัญหาตามมาของนักภาวนา นักภาวนาสมควรจะเอาใจใส่ในเรื่องนี้ด้วย แล้วจะให้ภาวนาอย่างไรละ... วิธีการก็ตือ ท่านอย่าไปห้ามจิตปรุงแต่งมันเกิด มันเกิดได้นะดี แต่พอท่านเห็นได้ว้ามันเกิดแล้ว ท่านก็ดูุต่อไปว่า มันดับลงไปเป็นไตรลักษณ์หรือไม่ ถ้ามันไม่ดับไปภายใน 2-3 วินาที ท่านสมควรดับมันเองด้วยการลงไปรู้กายให้หนักแน่นมากขึ้น เช่นการรุ้ลงไปต่ำ ๆ บริเวณท้องหรือขา เป็นต้น อย่าปล่อยมันค้างไว้นาน พอท่านรู้กายหนักหน่วง จิตปรุงแต่งจะดับ เพราะการรู้กายที่หนักหน่วง มันจะไม่่เอื้อต่อการเกิดของจิตปรุงแต่งขึ้น พอจิตปรุงแต่งดับลงไปแล้ว ท่านก็มาภาวนาแบบเดิมอีก ล่อให้จิตปรุงแต่งมันเกิดใหม่อีก พอจิตปรุงแต่งมันเกิดใหม่อีก ก็ดูว่า มันดับไปเองหรือไม่ภายในไม่่กี่วินาที ถ้ามันดับเองอย่างเร็ว นี่เป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ ถ้ามันไม่ดับเองภายใน 2-3 วินาที ท่านก็ดับมันเองโดยการรู้กายที่หนักหน่วง ให้ภาวนาวนเวียนไปแบบนี้เรื่อย ๆ เมื่อกำลังจิตมากขึ้น สมาธิตั้งมั่นมากขึ้น จิตปรุงแต่งที่เคยต้องดับเองแบบรู้กายที่หนักหน่่วง ก็จะไม่ต้องดับเองอีก แต่่มันจะดับเป็นไตรลักษณ์ให้นักภาวนาเห็นได้เองอย่างอัตโนมัติ นี่คือ ทางสร้างปัญญาให้แก่จิตในการรู้ความเป็นไตรลักษณ์ของขันธ์ต่อไป การภาวนานั้น ถ้านักภาวนาภาวนาอย่างผ่อนคลาย การผ่อนคลายนี้ จิตจะไม่สร้างจิตปรุงแต่งขึ้นมารอไว้ก่อน ซึ่งหมายความว่า อาการผ่อนคลายนี้ ทั้งจิตและ มโน จะใสอยู่ พอจิตปรุงแต่งเกิดขึ้นใน มโน ปุ๊บ ตัวจิตผู้รูุ้จะเห็นจิตปรุงแต่ง ได้ไวมาก และ จิตปรุงแต่งจะสลายลงไปอย่างรวดเร็วเป็นไตรลักษณ์ให้นักภาวนาเห็น แต่ถ้านักภาวนาไม่ได้ภาวนาอย่างผ่อนคลาย กลับเคร่งเครียดในการภาวนา การเคร่่งเครียดนี้ จะทำให้ มโน ขุุ่นอยูุ่ และความว่องไวของจิตผู้รู้จะไม่ว่องไว แต่กลับช้าหนืด ๆ พอเกิดจิตปุรงแต่งขึ้นใน มโน จิตปรุงแต่งจะเกิดค้างใน มโน ไม่ยอมสลายลงไปเป็นไตรลักษณ์อย่างรวดเร็ว นี่คือความแตกต่างระหว่างการภาวนาที่ผ่อนคลายและไม่ผ่อนคลาย ท่านอาจสงสัยว่า การรู้กายที่หนักหน่่วงเพื่อการหยุดจิตปรุงแต่งนั้น ไม่เป็นการแทรกแซง ขบวนการของวิปัสนาหรือ เรื่องนี้ ผมจะชี้แจงให้ท่านทราบครับว่า การที่จิตปรุุงแต่งมันไม่ดับเองเป็นไตรลักษณ์อย่างรวดเร็ว นี่คือ กำลังจิตของนักภาวนายังไม่ตั้งมั่นมากพอ การไปรู้กายทีหนักหน่วง ถููกที่ว่าเป็นการแทรกแซง ขบวนการของวิปัสนา แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อรักษาสุุขภาพของตัวนักภาวนาเอง ต่อเมื่อสุขภาพของนักภาวนาที่ดี อยู่ และ กำลังจิตที่มากขึ้นในอนาคต ก็จะทำให้การเจริญวิปัสนาได้ผลดีมากกว่า ที่จะทนให้จิตปรุงแต่ตั้งอยู่เพื่อขบวนการวิปัสสนา แต่มีผลเสียต่อสุุขภาพในปัจจุบัน นักสู้ที่มีปัญญา ย่อมดูกำลังของตนเองและคู่ต่อสู้ว่า เมื่อไรจะสู้ เมื่อไรจะถอยเอาเชิงแล้วลุยใหม่ การสู้โดยกำลังอ่่อนแอกว่าศัตรู ย่อมถูกคู่ต่อสู้น๊อคได้ง่าย ๆครับ **** fb 19 sept 2012
Create Date : 19 กันยายน 2555
Last Update : 19 กันยายน 2555 10:19:50 น.
1 comments
Counter : 1995 Pageviews.
โดย: นมสิการ วันที่: 19 กันยายน 2555 เวลา:10:34:39 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****