รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มกราคม 2563
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
26 มกราคม 2563
 
All Blogs
 

การเกิดเป็นทุกข์

บทความนี้  ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ในการภาวนา  
เนื้อหาในเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อฝากไว้ให้แก่นักภาวนาทีชำนาญในการภาวนามาก ๆ แล้ว ไว้พิจารณาด้วยปัญญา 
อย่าได้เชื่อในบทความนี้ แต่ขอให้พิจารณา แล้ว พิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง
....
0..สภาวะธรรมปรมัตถทีควรเข้าใจก่อน ทีจะอ่านต่อไป
0.1  ตัวจิตนั้นมี 2 ส่วน  คือ จิตส่วนทีเป็นพลังงาน และ จิตส่วนทีเป็นสภาวะรู้
0.2  โครงสร้างทางปรมัถตธรรมนั้น จะมี 3 ส่วน คือ ส่วนทีเป็นโลกภายนอก ส่วนทีเป็นอายตนะ และ ส่วนทีเป็นโลกภายใน (บ้านของจิตทีเป็นสภาวะรู้ )
.
1..การเกิดคือ อย่างไร
ในปุถุชน  จิตทั้ง 2 ส่วนคือ ส่วนทีเป็นพลังงานและส่วนทีเป็นสภาวะรู้ ได้หลอมรวมเป็นหนี่งเดียวกัน  ห่อหุ้มด้วย อวิชชา และ โมหะ เมื่อมีผัสสะผ่านเข้ามาทางอายตนะ จิตทั้ง 2 ส่วนนี้ จะเคลื่อนไปด้วยแรงดึงของตัณหาทีเจือปนอยู่ในจิต แล้วเข้าไปยีดเกาะกับสิ่งทีรับรู้ที่เข้ามาทางอายตนะ  ตัวอย่าง เช่น
...เมื่อตามองเห็นรถยนต์คันใหม่เอี่ยม เกิดความชอบใจ  จิตก็จะเคลื่อนตัวออกไปยีดติดยังสิ่งทีมองเห็น คือ รถคันใหม่   
...เมื่อหูได้ยินเสียงด่าเข้ามา เกิดความไม่ชอบใจ จิตก็จะเคลื่อนตัวออกไปยังเสียงทีรับเข้ามา
...เมื่อนึกคิด หรือ มีอารมณ์ปรุงแต่ง  จิตก็เคลื่อนไปยีดติดไปยัง นึกคิด หรือ ไปยีดติดยังอารมณ์ปรุงแต่งทีเกิดขึ้น
.
การเคลื่อนตัวของจิตนี้แหละทีไปยังสิ่งทีรับเข้ามาทางอายตนะ คือ การเกิดได้เกิดขึ้น
ในตำรา การเคลื่อนตัวของจิตจากฐานนี้ จะเกิด วิญญาณขันธ์ เกิดขึ้น
ถ้าเคลื่อนออกทางตา ก็เกิด วิญญาณทางตา
ถ้าเคลื่อนออกทางหู ก็เกิด วิญญาณทางหู
เป็นต้น
.
2..การเกิดทำให้เกิดทุกข์ได้อย่างไร
.
เมื่อเกิดวิญญาขันธ์ขึ้น ไม่ว่าจะวิญญาณทางใด  จะเกิดทุกข์เสมอ
2.1  การรับรู้ทีผ่านเข้ามาทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น สัมผัสทางกาย  จะทำให้เกิดการรับรู้ที ทีอายตนะที มโนทวาร  ด้วยเสมอ
ทำให้ คน เมื่อเห็น รถ ก็จะรู้ว่า สิ่งทีเห็นคือ รถ
เมื่อได้ยินเสียงเด็กร้อง ก็จะรู้ว่า สิ่งทีได้ยินคือ เสียงเด็กร้อง
เมื่อดื่มน้ำหวาน ก็จะรู้ว่า สิ่งทีตนดื่มเข้าไป คือ น้ำหวาน
อาการทีรู้ว่า สิ่งทีรับรู้เข้ามาจากสิ่งทีอยู่ทีโลกภายนอก เป็นการเกิดขึ้นของสัญญาขันธ์
และสังขารขันธ์  ซี่ง ภาษาในการภาวนา เรียกกันว่า ความคิด
.
ในการภาวนา  มีการสอนมากมาย ทีบอกว่า อย่าให้มีความคิด แล้วคนก็บอกว่า ตนไม่มีความคิดเลย   นี่เป็นการเข้าใจผิดของนักภาวนา  เพราะความจริงนั้น ตนเองนั้น คิดอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอยู่ นั่นเอง
เพราะ ถ้าไม่คิด คนจะไม่สามารถเข้าใจได้ว่า ที่อาจารย์สอนบอกว่า อย่าให้มีความคิด นั้น คนฟังจะฟังไม่รู้เรื่องเลยว่า อาจารย์พูดนั้น อาจารย์พูดอะไร  และ การที่ลูกศิษย์บอกอาจารย์ว่า ตนไม่มีความคิดเลย นี่ก็คือ การคิดแล้ว เพราะถ้าไม่คิดจริงๆ  คนจะพูดออกมาเป็นภาษาคนไม่ได้เลย
.
2.2 เมื่อวิญญาณขันธ์เกิดขึ้นแล้วทีทาง มโน ทวาร
.
2.2.1  สำหรับปุถุชน หรือ นักภาวนาทียังภาวนาไม่ได้ดีพอ
จิตจะไปยีดการนึกคิด ปรุงแต่ง จะทำให้เกิดอาการทุกข์ทางใจ
ตัวอย่างเช่น การนึกถึงเรื่องทีเป็นทุกข์ ก็จะทุกข์ใจ   ถ้าไปนึกถึงเรื่องทีเป็นสุข ก็จะสุขใจ
 (  หมายเหตุ  อาการสุขใจ นั้น ในทางธรรม ก็คือ ทุกข์อย่างหนี่ง )
ซี่งอากาารทุกข์ทางใจนี้  คนทุกคนทีเกิดมา จะสามารถพบได้ รู้สีกได้ทั้งหมด ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
2.2.2  สำหรับนักภาวนาทีชำนาญการภาวนามามาก ๆ แล้ว จิตมีพลังของ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทีมันคง  อาการยึดติดการปรุงแต่งทางใจ แล้วทำให้เกิดทุกข์ใจ จะเกิดได้ยาก แต่ก็อาจเกิดได้บ้าง แต่จะไม่รุนแรงนัก หรือ พอเกิดทุกข์ใจแล้วก็ดับได้เร็วมาก ๆ 
.
แต่นักภาวนาในระดับนี้ จะพบอาการทุกข์กาย เพิ่มขึ้นมาได้ ซี่ง นักภาวนามือใหม่ หรือ ปุุถุชน จะไม่เกิดทุกข์กายแบบขึ้น เพราะ นักภาวนามือใหม่ หรือ ปุถุชน มีโมหะ ครอบงำจิตอยู่ การรับรู้ทุกข์ทางกายแบบนี้  จึงไม่เกิดขึ้น
.
แต่นักภาวนาทีชำนาญ  โมหะทีครอบงำอยู่ ลดน้อยลงไป เบาบางลงไปแล้ว  หรือ จิตมีปัญญาหลุดจากการครอบงำของโมหะแล้ว ทำให้การรับรู้ทุกข์กายแบบนี้สามารถรับรู้ได้
.
อาการทุกข์กายที่เกิดขึ้นในนักภาวนาทีชำนาญ เกิดเมื่อจิตเกิดการเคลื่อนตัวออกจาก*บ้านของจิต *จะมี 2 อย่างคือ
A..อาการกรดหลั่งในกระเพาะอาหาร  อาการท้องอืด คล้ายคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร
อาการนี้ เนื่องจากเป็นปัญหาจากการภาวนา การรักษาทางโลก ไม่อาจทำให้หายขาดได้
เพียงแต่ทุเลาได้ และจะเป็นแบบ เป็น  ๆ  หาย ๆ  ไม่รู้จบ
.
B..อาการจุกในลำคอ เหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างไปค้างอยู่ทีลำคอเป็นก้อนอยู่
สิ่งทีไปต้างอยู่ คือ จิตส่วนทีเป็นพลังงาน เคลื่อนตัวลงต่ำจากศร๊ษะ แล้วไปค้างทีลำคอ ทำให้เกิดการจุดทีลำคอ
.
หมายเหตุ  อาการจุกในลำคอนี้  บางคนอาจบอกว่า ไม่เคยพบ ก็ได้ ซึ่งขึ้นกับแต่ละบุคคลว่า มีกิจกรรมทางโลกทีไม่เหมือนกัน  อาการจุกทีลำคอ จะเกิดในขณะทีมีความตั้งใจมาก ในการใช้แรงกายมาก ๆ เช่น การยกของหนัก การวิ่งออกกำลังกาย เป็นต้น ถ้านักภาวนา ไม่มีกิจกรรมพวกนี้ ก็อาจไม่เกิดอาการจุกลำคอนี้
.
3..วิธีดับทุกข์
เมื่อสาเหตุแห่งทุกข์ เกิดจาก จิตส่วนทีทำหน้าทีรู้ เคลื่อนออกจากบ้านของจิตทีเป็นส่วนของโลกภายใน เราเพียงแต่ฝีกฝน ให้จิตส่วนทีทำหน้าทีรู้ ไม่เคลื่อนออกจากบ้านของจิต  อาการเหล่านี้ ก็ไม่เกิดขึ้น หรือ อาการเกิดอยู่ และเป็นหนัก ก็จะค่อยๆ ทุเลา และ หายป่วยได้เป็นครั้งคราว 

ในการดับทุกข์ มี 2 ระดับ 
3.1 ระดับว่าด้วยการฝีกฝน 
ส่วนนี้ หมายความว่า ทำการฝีกฝนให้จิตส่วนทีทำหน้าทีรู้ อยู่ในบ้านอยู่เสมอ ไม่ว่า ตนเองจะทำกิจการงานใด ๆ  อาการทุกข์เหล่านี้ ก็ไม่เกิดขึ้น
วิธีการฝีกฝนในระดับนี้  สามารถทำได้หลายอย่าง แต่จะขอแนะนำเพียงบางอย่างดังนี้
.
แบบที่ 1.. ให้จิตส่วนทีเป็นตัวรู้  เห็น "เรือน" (ส่วนทีเป็นทีเกิดของจิตปรุงแต่ง) ด้วย ญาณหยั่งรู้ ให้รู้ว่า เรือนนั้น อยู่ห่างๆ   
หรือ
จะเห็นภายใน สมอง ส่วนทีทำหน้าทีนึกคิดอยู่ว่า สมองนั้นอยู่ห่างๆ   * * เห็นด้วยญาณหยั่งรู้**
.
การฝีกฝนแบบที่ 1 สามารถใช้งานได้ดี ในคนทีทำงานไม่ว่า จะใช้ทำงานแบบใด ก็สามารถฝีกฝนได้
.
แบบที่ 2 ...ให้การรู้ของจิตส่วนทีทำหน้าทีรู้  รู้อยู่ทีตัวจิตทีทำหน้าทีรู้นั้นเอง  บางครูบาอาจารย์จะเรียกว่า อยู่กับรู้  หรือ บ้างก็เรียกว่า  รู้อยู่ทีรู้  หรือ บ้างก็เรียกว่า จิตรู้อยู่ทีตัวจิตเอง
.
การรู้แบบนี้ นักภาวนา ต้องสามารถพบจิตส่วนทีทำหน้าที่รู้ได้ก่อน แล้วจึงจะสามารถให้การรุ้ของจิตไปรู้อยู่ทีตัวจิตนี้ได้   แต่ก็อาจต้องมีการพยายามฝีกฝนในช่วงแรก แต่ถ้าทำได้ครั้งเดียว ต่อไป ก็จะทำได้อีก
การรุ้ของจิตอยู่ทีรู้ นี้ ไม่สามารถใช้ทำงานทางโลกได้ ควรทำในอิริยาบท นิ่ง   ๆ เช่น นั่งหรือนอน
.
แบบที่ 3...การให้จิตส่วนที่ทำหน้าทีรู้ เข้าไปอยู่ในบ้านของตัวจิตเองในโลกภายใน ด้วยการไม่ใช้ ตาเนื้อมองสิ่งใด ๆ แต่เปิดตาในขึ้น ทำงานแทนตาเนื้อ
การไม่เปิดตาเนื้อทำงาน แต่เปิดตาในทำงาน  จิตส่วนทีทำหน้าทีรุ้ จะเข้าไปอยู่ในบ้านทันที
และ ขอสังเกตได้ว่า ด้านใบหน้าจะสว่าง ลมหายใจจะยาว ไม่มีทุกข์ใด ๆ ปรากฏขึ้น
.
3.2 ระดับว่าด้วยสติปัญญา
.
ในการฝีกฝนในข้อ 3.1 นั้น จะเป็นการฝีกฝน แต่ไม่ใช่ว่า ทำตลอดเวลา เพราะการทำตลอดเวลา จะไปขัดขวางการเกิดขึ้นวิปัสสนา  
การฝีกฝนในข้อ 3.1 ทำเพื่อรักษาอาการป่วยทีมีอยู่ ให้เบาลงไป เมื่ออาการป่วยเบาลงไป 
ก็รอให้เกิดขบวนการของวิปัสสนา
.
วิปัสสนาในระดับสูงนี้ คือ การเห็นทันการเคลื่อนตัวของจิตส่วนทีเป็นพลังงาน
ชนิดทีเรียกว่า จิตเคลื่อนตัวปุ๊บ ก็เห็นทันปั๊บ  การเห็นทันจิตเคลื่อนตัวแบบนี้ จะทำให้เกิดปัญญา
มีความเข้าใจอะไรบางอย่างเกิดขึ้นได้
.
ความเข้าใจทีเกิดขึ้นทีเกิดจากการเห็นทันการเคลื่อนตัวของจิตพลังงานนี้เอง
จะไปช่วยเสริมให้ ตัวจิตตัวรู้ นั้นเคลือนไปอยู่ทีบ้านทีเป็นโลกภายในเอง โดยทีไม่ต้องฝีกฝน
แต่การเห็นทัน ไม่ใช่เห็นแค่ครั้งเดียว ต้องเห็นได้หลายๆ ครั้ง จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ได้
.
เมื่อจิตส่วนทีทำหน้าทีรู้ เคลื่อนตัวไปอยู่ในโลกภายในได้เอง  ตัวจิตทีทำหน้าทีรุ้ จะรู้ตัวเองว่า บัดนี้ จิตรู้ส่วนนี้ อยู่ในโลกภายในแล้ว เมื่อรู้อย่างนี้ อาการทุกข์ทั้งปวง ไม่ว่า ทุกข์ใจ หรือ ทุกข์กาย จะไม่เกิดขึ้นได้อีก
.
หมายเหตุจากผู้เขียน  
บทความนี้ ผู้เขียนจะไม่ตอบคำถามใด ๆ ในเรื่องนี้ แก่ผู้ใด


 




 

Create Date : 26 มกราคม 2563
0 comments
Last Update : 27 มกราคม 2563 9:21:21 น.
Counter : 1925 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.