รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
เมษายน 2564
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
1 เมษายน 2564
 
All Blogs
 
สติปัฏฐาน เส้นทางแห่งการดับทุกข์ได้

1....บทความเรื่อง < สติปัฏฐาน เส้นทางแห่งการดับทุกข์ได้ > บทความนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวล้วน ๆ   ท่านทีเข้ามาอ่าน แนะนำให้อ่านด้วยวิจารณญาณ และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อความเจริญในธรรมสืบต่อไป

ในบทความนี้  จะมีเรื่องของ หลักการเกิดของทุกข์ และ หลักการของสติปัฏฐาน
พร้อมตัวอย่างในการฝีกฝนสติปัฏฐาน
.
ขอให้ท่านอ่านบทความนี้ก่อน 
ถ้าท่านไม่อ่านบทความนี้ ท่านจะอ่านเรื่องราวทีผู้เขียนได้เขียนในเรื่องนี้แล้วจะไม่เข้าใจ
สิ่งทีท่านควรเข้าใจในบทความทีอ่านก่อน ก็คือ คำว่า <เรือน>
>>>ชื่อเรื่อง   เจ้าชายสิทธัตถะทรงรู้อะไรในคืนวันตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
>>>ลิงค์ทีเข้่าไปอ่านได้ที่  
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=16-12-2019&group=17&gblog=182

2..ในคืนวันตรัสรู้  เจ้าชายได้ทรงค้นพบสาเหตุแห่งทุกข์ และ วิธีการดับทุกข์
ซึ่งทุกข์นั้น เกิดขี้นมาจาก สาเหตุ 2 ประการ 

สาเหตุประการแรก......เมื่อคนเราเกิดความสนใจสิ่งต่าง ๆ หรือ เรื่องราวต่าง ๆ ในทางโลกภายนอก
(โลกภายนอก ก็คือ โลกปกติของคนเรา ทีมีคน สัตว์ สิ่งของ เรื่องราวต่าง ๆ สารพัด )

เมื่อคนสนใจในโลกทางนอก  <เรือน> ก็เกิดขึ้นทันที
อันเป็นกลไกธรรมชาติ

สาเหตุประการที่สอง...เมื่อ <เรือน> เกิดขึ้นแล้ว จะมีแรงดึงดูด ตัวจิตตัวรู้  ให้ไหลเข้าไป
เกาะติดที <เรือน> เพื่อให้การทำงานในการรู้เรื่องราวทางโลกภายนอกดำเนินต่อไปได้เรื่อย ๆ 
หมายเหตุที่สำคัญ... ถ้าจิตตัวรู้ ไม่ไหลเข้าไปใน <เรือน> การทำงานในการรู้เรื่องราวต่าง ๆ  เกี่ยวกับโลกภายนอก ก็จะหยุดลงไปได้เอง อันเป็นกลไกธรรมชาติทีเป็นเช่นนี้

ในการปฏฺบัติในสมัยปัจจุบัน  เมื่อ <เรือน> เกิดขึ้น
ก็จะเรียกกันว่า  มีความคิด เกิดขึ้น
หรือจะกล่าวว่า ทุกข์ เกิดขึ้น ก็ได้เช่นกัน

ในภาษาธรรม อาการที จิตตัวรู้ไหลเข้าไปในเรือน จะเรียกอาการนี้ว่า ตัณหา
ในทางธรรม จึงมักกล่าวว่า ตัณหาทำให้เกิดทุกข์ขึ้น
บางอาจารย์ก็จะพูดว่า นีคือการเข้าไปในความคิด

ในทางธรรม มีวลีหนี่งทีคนมักกล่าวกันก็คือ คำว่า  ส่งจิตออกนอก
ซี่งก็คือ การที่คนเราไปสนใจทีโลกภายนอก แล้ว จิตตัวรู้ไหลเข้าไป
เกาะติดในเรือน
.
ถ้ามี <เรือน> เกิดขึ้น แต่จิตตัวรู้ ไม่ไหลเข้าไปเกาะติดในเรือน
อาการนี้ จะเรียกว่า การมีสัมมาสมาธิ
สมาธิพุทธ หรือ สัมมาสมาธิ นี้ ไม่ใช่การไปรู้สิ่งเดียว
การไปรู้สิ่งเดียว นีเป็น สมาธิแบบฤาษี  ซึ่งไม่ใช่ทางแห่งมรรค
ขอให้ท่่านทีเข้าใจมาอ่าน ขอให้ทำความเข้าใจในเรื่องของ สมาธิ นี้ให้ตรง

3..ในข้อ 2 ได้กล่าวถึง เหตุแห่งทุกข์ ก็คือ ตัณหา
ถ้าจะไม่ให้ทุกข์เกิดขึ้น ก็ต้องไม่ให้ จิตตัวรู้ไหลเข้าไปในเรือน

ซึ่งการปฏิบัติสติปัฏฐานนี้ ในขณะทีคนเรากำลังมีสติปัฏฐานอยู่
จิตตัวรู้ จะไม่ไหลเข้าไปในเรือน
แต่ถ้าเมื่อใด ทีจิตตัวรู้ไหลเข้าไปในเรือน นั่นหมายความว่า ในขณะนั้น
คนเราไม่อยู่ในสติปัฏฐานแล้ว

วิธีทีจะรุ้ว่า ขณะนั้น คนเรามีสติปัฏฐานอยู่หรือไม่ ให้ดูว่า ในขณะนั้น ๆ 
เรายังสามารถทีรู้ว่า มีการหายใจ เกิดขึ้นอยู่หรือไม่
โดยการหายใจนั้น จะต้องเป็นธรรมชาติทีเกิดขึ้น ไม่ใช่มาจากการบังคับให้มีการหายใจ

ซี่งการจะรู้ได้ว่า บังคับให้มีการหายใจหรือกำลังมีการหายใจทีเป็นธรรมชาติ
ก็ให้ดูว่า มีการหายใจทีไหลลื่น รู้สีกสบาย ไม่รู้สีกอึดอัดเลย และ การหายใจทีดำเนินไปเอง
ซี่ง ผู้เขียนขอตั้งชือ่เรียกเพื่อความเข้าใจการรู้การหายใจทีเป็นธรรมชาตินี้ว่า
การรู้การหายใจแบบ Secondary

เมื่อมีสติปัฏฐานเกิดขึ้น คนเราก็จะสามารถรู้การหายใจแบบ Secondary ได้
จุดนี้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบว่า จิตตัวรู้เข้าไปยีดเกาะใน <เรือน> หรือไม่
.
4..หลักการของสติปัฏฐาน ขอให้ดูจากภาพข้างล่างนี้



เพียงให้จิตตัวรู้ไปหยุดสนใจเรื่องราวของโลกภายนอก  แต่ให้ไปรู้อาการของ กาย เวทนา จิต ธรรม
แทน ซี่งในการปฏิบัติ ก็จะเรียกกันว่า การรู้ทีโลกภายใน หรือ บ้างก็เรียกว่า การเดินทางภายใน

เมื่อหยุดการสนใจทีโลกภายนอกเมื่อใด ให้ไปรู้อาการทีโลกภายในแทน เมื่อ
เป็นแบบนี้ เรือน ก็จะไม่เกิดขึ้น เมื่อไม่มีเรือนเกิดขึ้น ทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้น

จุดพลาดของนักปฏิบัติมือใหม่ที่ลงมือฝีกฝนสติปัฏฐาน
มักเกิดจากความเข้าใจทีคลาดเคลื่อนของคำว่า อาการของโลกภายใน
โดยมักไปเข้าใจว่า ให้ไปจ้องดูร่างกาย หรือ จ้องดูอวัยวะส่วนใด ส่วนหนี่งของร่างกาย
การไปจ้องดูร่างกาย หรือ ไปจ้องทีอวัยวะ  นี่คือ เป็นการสนใจโลกภายนอกได้เกิดขึ้นแล้ว
<เรือน> จึงเกิดขึ้นเพราะเหตุแห่งการไปจ้องนั้น

การปฏิบัติฝีกฝน สติปัฏฐาน นั้น ไม่ใช่การไปจ้อง แต่เป็นการ ไปรู้ความรู้สีก ทีเกิดขึ้น
ซี่งนักภาวนามือใหม่ แนะนำให้ใช้วิธีการรู้ความรู้สีกในการฝีกฝน
แต่สำหรับนักภาวนามือเก่า
ที่ได้ฝีกสติปัฏฐานไปมาก ๆ จนเกิด ญาณ แล้ว ก็จะสามารถใช้ ญาณ ไปรู้อาการ
ของสติปัฏฐานได้อีกหนี่งทางด้วย
หมายเหตุ  บทความนี้ จะไม่เขียนไปถึง การรู้ระดับ ญาณ 

5..ยกตัวอย่างการฝีกฝนปฏิบัติ สติปัฏฐานด้วยการรู้ความรู้สีก
ท่านทีเข้ามาอ่าน ถ้าสนใจการฝีกฝนในวิธีฝึกรู้ความรู้สีก แนะนำให้ท่านได้ทดลองทำตาม
ไปด้วย เพื่อให้เข้าใจจริง ๆ ว่า การรู้ความรู้สีกนั้น ปฏิบัติอย่างไร
หมายเหตุ  การฝีกฝน สติปัฏฐานนั้น มีมากมายหลายแบบ
วิธีการทีเขียนในเรื่องนี้ เป็นเพียงวิธีการแบบหนี่งเท่านั้น

AA...ถ้าท่านมีพัดลม ขอให้เปิดพัดลมส่ายไปมา ให้โดนร่างกายของท่านได้บ้าง ไม่ได้บ้าง และให้นั่งบนเก้าอี้ให้สบาย  ไม่ต้องหลับตา ให้ลืมตาขึ้น แต่ไม่ต้องไปจ้องมองอะไร เพียงลืมตาขึ้นเท่านั้นเอง
แล้ว ให้ใช้มือทั้งสองข้างกอดอก เมื่อใช้มือกอดอก ตาไม่ได้สนใจมองอะไร จะรู้สีกได้
ถึงอาการกระเพื่อม ๆ แถวหน้าอกได้  ขอให้สังเกต ขณะทีท่านรู้อาการกระเพื่อม ๆ แถวหน้าอก
อย่าไปจ้องแถวหน้าอก ก็สามารถรู้สีกถึงการกระเพื่อมได้แล้ว ตาที่ท่างลืมตาอยู่ จะสังเกตเห็นว่า ตาเห็นภาพต่างๆ ได้ไม่ชัดนัก บางท่่านอาจเห็นภาพมัว ๆ ลงไปเลยก็ได้
หมายเหตุ แต่ถ้าท่านเป็นมือใหม่ แล้วใช้ตาไปจ้องมองอะไรทีอยู่ข้างหน้า ท่่านอาจไม่สามารถรู้การกระเพื่อม ๆ นี้ได้ จึงขอให้ท่านเพียงลืมตาขึ้นเท่านั้น อย่าได้ใช้ตาจ้องมองสิ่งใด ๆ 

เมื่อท่านรู้สีกถึงอาการกระเพื่อม ๆ ได้ นี่คือ การรู้ว่า มีการหายใจเกิดขึ้นแล้ว 
ท่านอย่าไปจ้องดูทีปลายจมูก ขอเพียงรู้อาการกระเพื่อมๆ ทีรู้สึกได้ก็พอ
ท่านกำลังรู้ความรู้สีกกระเพื่อม ๆ  แต่ไม่ได้สนใจตัวลมหายใจเลย
จึงเป็นการรู้กายหายใจทีเป็นแบบ Secondary 

BB...จากข้อ AA ท่านสามารถฝีกต่อยอดได้
เมื่อท่านสามารถรู้สีกได้ทีอาการกระเพื่อม ๆ อันมาจากการหายใจได้แล้ว
ขอให้ท่านรู้สีกต่อไปสักครู่ก่อน แล้วทีนี้ ขอให้สังเกต ถ้าท่านนั่งอยู่
ท่านจะสามารถรู้การกระเพื่อมๆ อันมาจากการหายใจได้อยู่ และยังสามารถ
รู้ความรู้สีกทีเกิดจากการนั่ง ทีเกิดจากก้นไปกระทบสัมผัสกับทีนั่งอยู่ได้ด้วย

เมื่อท่านรู้สีกการกระเพื่อม ๆ ได้ รู้สีกถึงการสัมผัสของก้นกับทีทีนั่งได้ด้วย
ขอให้ท่านรู้สีกทั้งการกระเพือม และ รู้ความรู้สีกทีเกิดจากการนั่ง รู้ทั้ง 2 อย่างพร้อมกันไป
ท่านก็สามารถทำได้เช่นกัน

หมายเหตุ  สำหรับมือใหม่บางท่าน อาจเข้าใจว่า การรู้ทั้งการกระเพื่อมและรู้สัมผัสทีก้นกับทีที่นั่ง
นี่เป็นการปฏิบัติทีผิด เพราะ สมาธิ คือ การรู้อย่างเดียว 
ซี่งเรื่องนี้ ผู้เขียนขอชี้แจงว่า  สมาธิ ทีรู้อย่างเดียว นี้เป็น สมาธิฤาษี
สำหรับ สมาธิพุทธ นั้น ไม่ใช่เป็นการรู้เพียงอย่างเดียว แต่สมาธิพุทธ หรือ สัมมาสมาธินั้น
เป็นอาการทีจิตตัวรู้ตั้งมั่น ไม่เข้าไปเกาะติดที <เรือน> ซี่งมีเขียนอธิบายอยู่ในหัวข้ที่ 2 ของบทความนี้

CC...เมื่อท่านสามารถฝีกฝนข้อ BB ได้แล้ว ขอให้ฝีกต่อไปแบบนี้สัก 1 สัปดาห์ก่อน
แล้วค่อยมาฝีกฝนข้อ CC นี้ต่อไป 

เมื่อท่านฝีกข้อ BB ได้สักระยะหนี่ง เช่น สัก 1 สัปดาห์ 
ถ้าท่านฝีกทุกวัน ท่่านจะมีความชำนาญมากชึ้น
ต่อไป ขอให้ท่านสังเกตว่า เมื่อท่านฝีกข้อ BB อยู่
ท่านจะไม่ทุกข์เลย จิตใจของท่านจะเฉย ๆ ในขณะทีท่านรู้
การกระเพื่อม และ รู้การสัมผัสทีก้นพร้อมกันไป
อาการใจทีเฉยๆ ไม่มีทุกข์นี่แหละ คือ อาการของของใจทีไม่ทุกข์
ทีนี้ ขอให้ท่านไปรู้อาการกระเพื่อมๆ  นี้และ รู้อาการใจทีไม่ทุกข์ พร้อมกันไป
2 อย่างพร้อม ๆ กัน

DD..เมื่อท่านฝีกข้อ CC ได้สัก 1 อาทิตย์ โดยฝีกทุกวัน จนมีความชำนาญ
ต่อไป จะเป็นการฝีกทียากขึ้นมาก เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้มีสัมมาสมาธิ
ให้แก่ตัวท่านเอง วิธีการก็คือ ให้ท่านทำสิ่งรบกวน เช่น อาจเปิดวิทยุ หรือ ทีวี
ให้มีเสียงรบกวน อาจเป็นเสียงภาพยนต์ หรือ ข่าวก็ได้
แล้ว ท่านก็ฝีกข้อ  CC ต่อไป 

ขอให้ท่านสังเกตตนเองว่า ในขณะทีมีเสียงรบกวน
ถ้าท่านเกิดแว๊บออกไปสนใจเรื่องเสียง ขณะนั้น <เรือน> ได้เกิดขึ้นแล้ว
ถ้าท่านสนใจทีเสียงแล้วท่านจะไม่รู้การกระเพื่อม ไม่รู้อาการใจทีเฉย ๆ  
นั่นแสดงว่า จิตตัวรู้ ของท่านได้ไหลเข้าไปในเรือนแล้ว
( จิตตัวรู้ของท่านกำลังถูกครอบงำจาก พญามารแล้ว )
ซี่งท่านไม่ต้องโกรธตัวเอง ไม่ต้องเสียใจ ว่าทำไม่ได้ หรือ ทำไม่ได้ดี เพราะนี่คือ กลไกธรรมชาติ
ทื่มีแรงดึงดูดต่อจิตตัวรู้ เมื่อมีเรือนเกิดขึ้น
การฝีกข้อนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่กลับเป็นว่า ยากมาก  ๆ   ทีเดียว

เมื่อท่านรู้ว่า พลาดท่าพญามาร
ก็ขอให้กลับมาเริ่มต้นฝีกใหม่อีกรอบ  ขอให้ท่านมีความเพียร
ในการฝีกสมาธิแบบนี้ไปเรื่อ่ยๆ   จะเป็น เดือน ๆ ปี ๆ ก็ได้
พลาดท่าก็เริ่มใหม่ ไม่มีการสอบตก มีแต่เริ่มใหม่
ท่านจะพบว่า ใหม่ ๆ ทีท่านพลาด ทานจะหลงไปกับพญามาร
ในเวลาทีนานหลายนานทีกว่าจะรุ้ตัวว่าหลงไปแล้ว

เมื่อท่านพลาดบ่อยๆ  ประสบการณ์ของท่านก็จะดีขึ้น
ท่านพลาดก็จริง แต่จะรู้ตัวได้เร็วว่า พลาดแล้ว
ขอให้ฝีกแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนการรู้ว่า พลาดนี้เกิดขึ้นเองได้เร็วมาก ๆ 
ท่านต้องมีการพลาดท่า การพลาดท่า จะทำให้ท่านพัฒนาตัวเองได้
ถ้าท่านพยายามทำให้ไม่มีพลาด นั่นแหละ ท่านกำลังถูกพญามารหลอกแล้ว
และท่านก็จะยากทีจะพัฒนาได้

เมื่อท่านชำนาญ พลาดแล้วก็จะรู้ได้เร็ว
เร็วจนเกิดอาการ พลาดแล้วรู้ทันทีว่าพลาด
ถ้าท่านได้แบบนี้ นับว่า ก้าวหน้าในการปฏิบัติสติปัฏฐานไปมากแล้ว

แล้วเมื่อใด ทีท่านกลับมาใช้ชีวิตปกติทางโลก
ท่านจะพบกับผลการฝีกฝนทีท่านได้ลงแรงฝีกฝนไป
บางครั้งจะได้ผลดี บางครั้งก็จะพลาดท่า
ไม่เป็นไร ขอให้ฝีกต่อไป อย่าได้ย่อแท้ แล้ว
ท่านจะเข้าใจและพบธรรมะได้ต่อไปเองมากขึ้นเรื่อย ๆ  
ทุกใจของท่านก็จะลดลงเรื่อยๆ เช่นกัน

เมื่อใด ที่ท่านฝีกฝนจน ในชีวิตปกติของท่าน
ท่านทำโน้นทำนี่ไปตามภาระกิจของท่าน
แต่ท่านยังสามารถรู้การหายใจแบบ Secondary ได้ด้วย
ท่านทีรู้ได้แบบนี้ พญามารก็ยากทีจะเข้ามาในใจของท่านได้อีก
ท่านไม่ต้องไปหาว่า ท่านถึง นิพพาน หรือยัง
เพียงท่านมีชีวิตอยู่แล้วไม่ทุกข์ นั่นแหละ ท่านได้พบกับมรรคแล้ว

< 00000 >

 


Create Date : 01 เมษายน 2564
Last Update : 11 ตุลาคม 2564 14:30:29 น. 0 comments
Counter : 789 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณmcayenne94


ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.