รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กันยายน 2556
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
21 กันยายน 2556
 
All Blogs
 
ดับทุกข์ด้วยสมาธิ ดับทุกข์ด้วยปัญญา คืออย่างไร ฉบับชาวบ้านอ่าน

ผมเขียนบทความนี้ขึ้น มาจากความเห็นส่วนตัวซี่งได้มาจากประสบการณ์การภาวนาของผมเอง
เพื่อให้ชาวบ้านอ่านกัน ซี่งแน่นอนว่า จะไม่เหมือนกับสำนวนทีถอดมาจากตำรา กรุณาอย่าได้เชื่อผม แต่ผมขอท้าให้ท่านพิสูจน์สัจจธรรมในเรื่องนี้ด้วยตัวท่านเอง


......ในหลักแก่นแห่งพุทธศาสนา การเดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ ก็เพื่อการดับทุกข์ ซี่งถ้าเดินตามอริยมรรคมีองค์ 8 อันเป็นข้อที 4 ในอริยสัจจ์ 4 แล้ว การดับทุกข์จะมีอยู่ด้วยกัน 2 อย่าง คือ การดับทุกข์ด้วยสมาธิ และ การดับทุกข์ด้วยปัญญา

1 การดับทุกข์ด้วยสมาธิ
การดับทุกข์ด้วยสมาธินี้ ถ้าจะแบ่งกัน ก็ยังแบ่งออกได้เป็น 2 อย่าง คือ

1.1 การใช้สมาธิกดข่มไว้ ไม่ให้ทุกข์เกิดขึ้น
1.2 การใช้สมาธิอันเป็นสัมมาสมาธิทีมีจิตตั้งมั่น รักษาจิตไว้ไม่ให้จิตไปยีดเกาะในทุกข์ทีเกิดขึ้น

ข้อ 1.1 เป็นการหนีปัญหา เพื่อไม่ต้องการพบกับปัญหา เมื่อไม่พบกับปัญหา ก็จะไม่ทุกข์ ยกตัวอย่างเช่น คนกลัวผี ก็ไม่ดูหนังผี ไม่อยู่คนเดียว ไม่เดินผ่านป่าช้า เป็นต้น การดับทุกข์แบบนี้ ผมจะไม่เขียนมาก เพราะไม่ใช่เป็นคำสอนในพุทธศาสนา

ข้อ 1.2 เป็นการดับทุกขืด้วยสัมมาสมาธิทีมีจิตตั้งมั่น อันเป็นคำสอนในพุทธศาสนา วิธีการนั้น คนต้องฝีกฝนสติปัฏฐาน 4 ตามหลักการแห่งมรรค 8 จนเกิดจิตตั้งมั่นให้ได้เสียก่อน เมื่อเกิดจิตตั้งมั่นแล้ว ตัวจิตเองจะมีพลังในการต้านแรงดูดของตัณหา เมื่อทุกข์เกิดขึ้น ไม่ว่าทีร่างกายหรือทีจิตใจ ตัวจิตที่ตั้งมั่นนี้จะไม่เข้าไปยีดเกาะทุกข์ทีเกิดนั้น แต่จิตยังคงเป็นอิสระจากทุกข์ได้อยู่ จิตเห็นทุกข์เป็นอะไรสักอย่างหนี่งทีเกิดขึ้น แปรเปลี่ยน แล้วดับไปเป็นไตรลักษณ์ และ ทุกข์นั้นไม่ใช่ตัวเขา ไม่ใช่ของ ๆ เขา

เนื่องจากทุกข์มีหลายอย่างและแต่ละอย่างก็มีพลังทีต่างกัน คนทีฝีกสติปัฏฐาน 4 ทีต้านทานต่อทุกข์ในระดับอ่อน ๆ ได้ ก็อาจพ่ายแพ้ต่อทุกข์ในระดับทีแรงๆ ได้อีก มีแต่เพียงการฝีกฝนสติปัฏฐาน 4 อย่างต่อเนื่องจึงจะรักษากำลังจิตไว้ต้านทานต่อทุกข์ได้ในระดับทีสูงขึ้นไปได้เรื่อยๆ

แต่ถ้าคนทีฝีกสติปัฏฐาน 4 มาบ้างและสามารถดับทุกข์แบบอ่อนได้บ้าง แต่ไม่ได้หมั่นฝีกฝนต่อไปอีก พลังจิตทีได้จากการฝีกฝนนั้นก็จะเสื่อมถอยลงไป ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพต่อการดับทุกข์ได้ต่อไป

อาจมีคำถามผุดขี้นมาในใจว่า ถ้าอย่างนั้น การฝีกฝนสติปัฏฐาน 4 ต้องฝีกฝนไปตลอดชีวิตใช่หรือไม่ แล้วจะทำให้เสียเวลาทำมาหากิน ถ้าอย่างนั้น ก็อย่าฝีกไปเลยดีกว่าตั้งแต่ต้น จะได้ไม่เสียเวลาโดยประโยชน์

ถ้าท่านมีคำถามคล้ายๆ ดังกล่าวนี้ขึ้นมาในใจท่าน แสดงว่า ท่านไม่ได้ศีกษาสติปัฏฐาน 4 อย่างท่องแท้พอ และ ท่านไม่เคยพบกับทุกข์ทีหนักจริงๆ มาเลยในชีวิต

เป็นความจริงทีว่า การดับทุกข์ด้วยสัมมาสมาธิทีมีจิตตั้งมั่นนั้น ท่านต้องหมั่นฝีกฝนอยู่เสมอไม่ให้ขาดไป เหมือนท่านต้องรับประทานอาหารทุกวัน แต่การฝีกฝนสติปัฏฐาน 4 นั้น ไม่ใช่ว่า ท่านจะต้องเสียเวลาทำมาหากินเพื่อไปฝีกฝน แต่ท่านสมควรฝีกฝนก่อนในรูปแบบเพื่อความเข้าใจในเบื้องต้น แล้วฝีกฝนต่อในชีวิตประจำวันต่อไป ถ้าท่านมีภาระหน้าทีทางโลกทีต้องทำมาหากินอยู่ตลอด (อ่านเรื่อง ความเหมือนและแตกต่าง ระหว่าง การฝีกในรูปแบบ และ การฝีกในชีวิตประจำวัน ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=09-2013&date=20&group=17&gblog=86 )

เมื่อท่านยังคงฝีกฝนอยู่ในชิวิตประจำวันอยู่ทุก ๆ วันเสมอๆ กำลังจิตก็จะไม่เสื่อมถอยลงไป และท่านไม่เสียเวลาทำมาหากิน

***********************************

2..การดับทุกข์ด้วยปัญญา

มีคำกล่าวกันว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา คนทีไม่เคยได้ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 จนผ่านการเกิดการดับทุกข์ด้วยสมาธิทีมีจิตตั้งมั่นมาแล้ว และ ยังไม่เคยเกิดการดับทุกข์ด้วยปัญญาได้ จะไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่า การดับทุกข์ด้วยปัญญานั้นเป็นอย่างไร

เมื่อไม่เข้าใจในการดับทุกข์ด้วยปัญญา ก็ใช้วิถีทางเข้าใจทางโลกว่า ปัญญาคือการศีกษาหาความรู้จากตำราให้มากๆ จะเกิดปัญญาขึ้นมาเองในการดับทุกข์ได้ ซี่งความเข้าใจแบบนี้ ก็ถูกในระดับหนี่ง แต่ยังไม่ใช่การดับทุกข์ด้วยปัญญาทีแท้จริงในพุทธศาสนา

จุดต่างอยู่ทีว่า การดับทุกข์ด้วยการอ่านจากตำรา ด้วยการคิดพิจารณาว่าดีหรือไม่ดี จะต้องมีการกระทำเพื่อดับทุกข์อันเป็นแบบ Manual ส่วนการดับทุกข์จริงๆ ด้วยปัญญาในพุทธศาสนา เป็นการดับทุกข์แบบ Automatic ที่ไม่มีการกระทำใด ๆ เพื่อดับทุกข์ ผมจะไม่ยกตัวอย่างในเรื่องนี้ เพราะถ้าผมยกตัวอย่างขึ้นมา ก็จะกระทบกระเทือนคำสอนทีมีอยู่มากมายในท้องตลาดทีเป็นการดับทุกข์แบบ Manual

ในการดับทุกข์ด้วยปัญญาในพุทธศาสนานั้น จะต้องมีพื้นฐานมาจากการดับทุกข์ทีมาจากสมาธิทีมีจิตตั้งมั่นเสียก่อนทีเขียนไว้ในข้อ 1.2 เมื่อเกิดขบวนการดับทุกข์ทีเกิดในข้อ 1.2 สิ่งทีท่านจะ**เห็นหรือรู้**อยู่ก็คือ ความไม่เทียงของทุกข์ทีเกิดขึ้น ทุกครั้งทีท่านเห็นความไม่เทียงในทุกข์ทีเกิดขึ้น ทุกข์จะดับไปเองเสมอ ๆ นีคือความจริงในทุกข์ทีเกิดขึ้น (ขอให้สังเกต ผมใช้คำว่า** เห็นหรือรู้ ** ทีไม่ใช่มาจากการคิดเอาเอง )

การเห็นหรือรู้ ความไม่เทียงของทุกข์นีแหละ เมื่อเห็นบ่อยๆ จะเกิดความเข้าใจในธรรมชาติของทุกข์ขึ้นมาและยอมรับในทุกข์นั้นว่า *** ทุกข์ นะมี แต่มันไม่เทียง มันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เดียวมันก็ดับไปเอง มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนี้เอง ** ความเข้าใจอย่างนี่แหละ คือ ปัญญาที่เกิดขึ้นในการดับทุกข์

มีข้อควรสังเกตอีกประการหนี่งในการดับทุกข์ด้วยปัญญาแบบนี้ว่า การเห็นหรือรู้ ความเป็นธรรมชาติแห่งทุกข์นั้น จะต้องเห็นหรือรู้บ่อยมาก ๆ จนเกิดการยอมรับขึ้นภายในจิตใจของท่านเอง
ถ้าท่านไม่เห็นธรรมชาติของทุกข์มากพอ อาการยอมรับจะไม่เกิดขึ้นในจิตใจ เมื่อจิตยังไม่ยอมรับ การดับทุกข์ด้วยปัญญาก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง

ผมยกตัวอย่าง ท่านซื้อรถใหม่ป้ายแดงจากบริษัทรถมาคันหนี่งในราคาทีแพงลิบลิ่ว เมื่อซื้อรถมาแล้ว ท่านย่อมมีอะไรในเป้าหมายในใจของท่านว่า รถคันนี้ต้องมีคุณสมบัติอย่างนี้ อย่างนี้ แต่พอท่านซื้อรถมา ท่านใช้ไป ท่านไม่พบปัญหาในรถเลย ท่านมีความสุขกับรถคันนี้มาก ต่อมามีเพื่อนของท่านมานั่งในรถของท่าน เพื่อนของท่านทักท่านว่า ทำไมเวลารถออกตัวใหม่ๆ จึงมีการกระตุกเบา ๆ 1 ครั้งเสมอ พอเพื่อนท่านทักเท่านั้น ท่านเริ่มสังเกต "จริงแฮะ" ท่านพบจริงอย่างทีเพื่อนท่านว่า ท่านเกิดความทุกข์ในใจขึ้นทันที มันแปลกทีว่า เมื่อก่อนท่านไม่รู้ ท่านไม่เคยทุกข์ พอมารู้เรื่องนี้เข้า กลับเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที ท่านนำรถไปเข้าศูนย์บริการแล้วแจ้งปัญหาทีเกิดขึ้น ช่างบอกว่า อ๋อ มันเป็นอย่างนี้ทุกคันครับ พอรถเริ่มออกตัว จะมีกลไกทีไปสั่งให้มอเตอร์ไฟฟ้าในรถทำงานก่อนพักหนี่ง เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ต้องกินน้ำมันมากในตอนออกตัวเพราะมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยขับเคลื่อนให้ก่อนในตอนแรก พอรถออกตัวแล้ว กลไกนี้ก็จะหยุดทำงานเองโดยอัตโนมัน แล้วช่างก็สาธิตให้ท่านดูว่ามันเป็นจริงอย่างนี้ ทีนี้ท่านร้อง อ๋อ มันเป็นกลไกประหยัดน้ำมันในรถรุ่นนี้ รถรุ่นนี้เจ๋งจริงๆ ช่วยประหยัดน้ำมันด้วย ท่านกลับมามีความสุขอีกครั้งหนี่ง

จากตัวอย่างทีผมยกมาเรื่องรถ พอจิตท่านยอมรับอะไรก็ตามที่เมื่อก่อนแปลว่ามันคือตัวปัญหา สิ่งทีเป็นตัวปัญหาจะไม่ใช่ปัญหาทันที ขบวนการดับทุกข์ด้วยปัญญาจะคล้ายๆ แบบนี้

การเห็นธรรมชาติในทุกข์บ่อย ๆ จนจิตยอมรับได้ จิตจะเห็นทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาไป เมื่อเห็นเป็นธรรมดา ก็จะไม่ทุกข์เอง นี่เป็นกลไกดับทุกข์ดัวยปัญญาแบบ Automatic ทีไม่มีการกระทำใด ๆ ในการดับทุกข์เลย เพราะจิตเห็นว่า นั่นเป็นธรรมดาอย่างนี้เอง

ท่านอาจมีคำถามผุดมาอีกว่า เป็นไปได้หรือไม่ ทีการดับทุกข์ด้วยปัญญาจะเกิดได้เองโดยไม่ต้องผ่านข้อ 1.2 มาก่อน

ในความเห็นของผม เป็นไปไม่ได้ครับ เพราะถ้าไม่ผ่านข้อ 1.2 มาก่อน จิตจะไม่พบกับธรรมชาติของทุกข์อย่างแท้จริง เมื่อไม่พบกับธรรมชาติของทุกข์อย่างแท้จริง การยอมรับในธรรมชาติย่อมไม่เกิดขี้น แต่ในตำรานั้น มีกล่าวไว้ในทำนองทีว่า เป็นไปได้ แต่ผมไม่เชื่อตำราในข้อนี้ครับ




Create Date : 21 กันยายน 2556
Last Update : 21 กันยายน 2556 10:53:30 น. 0 comments
Counter : 1886 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.