รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2555
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
4 มิถุนายน 2555
 
All Blogs
 
รู้สึกตัวมี 2 แบบ

บทความนี้นำมาจาก facebook ที่ได้ลงเป็น 2 ภาค โดยที่ ภาค 1 เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2555 และ ภาค 2 ลงวันที่ Create Date: 8 พฤษภาคม 2555

คำว่า **ให้รู้สึกตัว** ใช้แล้วครับในการภาวนา ใคร ๆ ก็บอกว่าให้รู้สึกตัว แต่ท่านรู้ไหมว่า การรู้สึกตัวนั้นมี 2 แบบ มาอ่านกัน

• แบบที่ 1 รู้สึกตัว แต่จิตสดใส แบบนี้ในยามทีท่านรู้สึกสบายกาย สบายใจ ท่านรู้สึกตัว จิตใจจะสดใสจริง ๆ sky is so blue อย่างนี้ดีมากครับ
• แบบที่ 2 รู้สึกตัว แต่จิตใจไม่ใส แบบนี้เช่น เวลาคนอกหัก คนอกหักก็รู้สึกตัวเช่นกัน แต่จิตใจไม่สดใส จมในกองทุกข์ รู้ว่าทุกข์ใจเพราะอกหัก แต่ก็ตัดใจไม่ได้เลย แบบนี้ รู้สึกตัว แต่ใจไม่ใส เป็นแบบรุนแรงมาก

ในการภาวนานั้น มโน คือ หน้าต่างของจิตใจ ถ้าท่านนักภาวนาสามารถเห็น มโน ได้ละก็ จะพบด้วยตัวเองเลยว่า ระดับ มโน นั้นมีความสดใสหรือขุ่นมัวต่างๆ กันไป เหมือนระดับของ Grey Scale ทีเดียว
• เวลาที่ท่านตั้งใจมากในการภาวนา มโน จะไม่ใส และจะรู้สึกว่ามันหนัก
• เวลาที่ท่านฝึกทำเล่นๆ ไม่จริงจัง มโน จะใส และรู้สึกได้ถึงความเบา
ท่านนักภาวนาไม่ต้องไปกังวลใจว่า มโน ของฉันมันใสหรือมันขุ่น แต่ในการภาวนานั้น การที่ มโน เดียวขุ่น เดียวใส นี้จะเป็นปัญญาให้แก่ท่านนักภาวนาเอง

ในกิจกรรมครั้งที่ 3 ผมได้บอกท่านไปว่า การภาวนานั้น รู้อะไรก็ได้ ที่มีการเปลี่ยนแปลง การใส การขุ่น ของ มโน นี่คือการเปลี่ยนแปลง ถ้าท่านเห็นมันได้ว่าเปลี่ยนแปลง นี่ก็คือปัญญาของท่านเอง การทำ มโน ให้ใสนั้นทำไม่ได้ครับ แต่ถ้า มโน ขุ่นมากด้วยกิเลส สามารถทำให้ขุ่นน้อยลงได้ด้วยการทำสมถะ แต่การทำสมถะ ถ้าใครเห็น มโน ได้จะเห็นได้ว่า มันขุ่นน้อยลง แต่มันไม่ใสครับ

ท่านอาจสงสัยว่า จะรู้ได้อย่างไรว่า ตอนนี้ มโน ใสแล้ว ท่านลองไปเที่ยวในธรรมชาติ ภูเขา ป่าไม้ ทะเล อย่าเอางานไปทำ อย่าเอาครอบครัวไปคิด เดินดูธรรมชาติล้วน ๆ เมื่อจิตใจท่านไม่มีอะไร ท่านจะรู้สึกได้ถึงความสบาย ปลอดโปร่ง นั้นคือจิตใจท่านดี มโน ท่านใส ขอให้จำสภาวะแบบนี้ไว้ เมื่อท่านภาวนา แล้วพบสภาวะเดียวกัน ท่านก็จะรู้ว่า มโน ท่านใสดี

ในการฝึกฝนในรูปแบบนั้น ถ้าท่านนักภาวนาไม่ละเอียดพอ คิดว่า รู้สึกตัวก็พอแล้ว แต่ไม่สนใจภายในจิตใจ ความขุ่นมัวของจิตใจด้วย ท่านก็พลาดการรับรู้สภาวะของจิตใจไปด้วยแล้ว รู้สึกตัว นะไม่พอนะครับ ท่านต้องรู้ความรู้สึกของกายใจไปด้วย รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของกายใจไปด้วย จึงจะใช้ได้ครับในการภาวนา อาตาปี สัมปชาโน สติมา > มีสัมปชัญญะ มีสติ

****************

ผมได้กล่าวถึงระดับของจิตที่สดใส หรือ ขุ่นมัว ในยามที่รู้สึกตัวไว้ในภาคแรกนั้น แต่ถ้าผมจะกล่าวอีกสำนวนหนึ่งในภาค 2 นี้ว่า การรู้สึกตัวที่สัมพันธ์กับจิต ก็จะมีว่า นักภาวนาสามารถควบคุฒจิตไว้ได้หรือไม่ ซึ่งจะมี 2 แบบคือ

1. รู้สึกตัว แต่ ควบคุฒจิตไม่ได้ 
2. รู้สึกตัว แต่ ควบคุมจิตได้

ในตำราศาสนาได้กล่าวไว้ว่า จิตนั้นเป็นอนัตตา จึงไม่อาจจะบังคับได้ มันเกิดเพราะมีเหตุให้เกิด มันดับเพราะเหตุได้ดับลงไป ถ้าเรานำตำรามาวิจัย จิตไม่อาจจะบังคับได้ก็จริงอยู่ และสภาวะของจิตขึ้นกับเหตุและปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมา ถ้าเราสร้างเหตุและปัจจัยให้ตรงทาง เราก็สามารถจะควบคุมจิตได้
เหตุที่ทำให้ควบคุมจิตได้ คือ ** สติ **

ในตำราพระอภิธรรม ได้กล่าวไว้ว่า สติ เป็นเจตสิกฝ่ายกุศล ถ้ายามใดที่จิตประกอบด้วย*สติ* เมื่อนั้น จิตจะเป็นกศลไปด้วย ถ้าอย่างนี้ยามใด ที่คนเรารู้สึกตัวแต่จิตใจขุ่นมัวเพราะอารมณ์ร้าย หรือ ความกลัว ความวิตกกังวล อย่างนี้ จะเรียกว่า มีสติ คงไม่ได้แล้ว เพราะนี่คือสภาวะของจิตที่กำลังเป็น**อกุศล**อยู่

สติปัฏฐานสูตร ได้เขียนถึงกฏการภาวนาไว้ว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา เมื่อเราฝึกการภาวนาตามกฏนี้ กำลังแห่งสัมมาสติจะเติบใหญ่ขึ้น และ เมื่อกำลังสัมมาสติเติบใหญ่ขี้น นั่นก็คือ สภาวะของจิตที่เป็นกุศลก็เติบใหญ่และดำเนินอยู่บ่อยขึ้น นานมากขึ้น

ผลแห่งสติที่เกิดจากการดำเนินสติปัฏฐานนี่สำคัญนัก เมื่อได้ผลใหม่ๆ จิตจะแยกตัวออก ไม่เข้าไปคลุกยึดติดกับอาการของขันธ์ เมื่อนักภาวนาเดินได้แค่นี้ นี่ก็ยากมากแล้ว แต่ผลของมันซิ เมื่อจิตไม่ยึดในขันธ์ ทุกข์จากขันธ์ก็จะลดลงไปจากจิตใจทันที

แต่ในระดับของการไม่ยึดขันธ์ด้วยกำลังแห่งสตินี้ เมื่อมีการพัฒนาต่อยอดไป ก็คือ สติควบคุมจิตไม่ให้ไปสร้างขันธ์ขึ้น นี่เป็นระดับการควบคมจิตระดับสูงสุด ซึ่งเมื่อจิตถูกควบคุมได้ ทุกข์ใด ๆ ก็ไม่อาจจะกล่ำกลายจิตได้อีก

ในการควบคุมจิตไม่ให้สร้างขันธ์นี้ นักภาวนาจะต้องเห็น *มโน* ที่แยกตัวออกจากจิตได้ก่อน ที่แท้นั้น มโน คือ สิ่งที่จิตไปสร้างขึ้นมาก่อน เมื่อ มี มโน แล้ว ขันธ์ตางๆ ก็พร้อมที่จะเกิดใน มโน ต่อไป นี่คือการจองที่เกิดของจิต ถ้านักภาวนายังไม่อาจควบคุมจิตไปสร้าง มโน ได้ นักภาวนาจะคงวนเวียนในสังสารวัฏตลอดไป แต่ถ้าเมื่อไร ที่นักภาวนาควบคุมจิตไม่ไปสร้าง มโน ขึ้น สังสารวัฏ ก็ถูกหยุดลงไป การเกิดอีกก็ไม่มีอีก สิ้นภพสิ้นชาติด้วยเหตุนี้

นักภาวนาที่ยังไม่ละเอียดพอ เห็น มโน ได้แล้ว แต่มองไม่ละเอียดว่า อย่างไร คือ ยังมี มโน และ อย่างไร คือ มโน สิ้นสุดลงแล้ว ความไม่ละเอียดนี้ จะทำให้นักภาวนาเข้าใจตัวเองผิดไปว่า การภาวนาได้สิ้นสุดเพียงแค่นั้น แต่ที่แพ้ ยังไม่ใช่ ยังไม่สิ้นสุด นีเป็นศาสตร์ขั้นสูงสุดในการภาวนา ที่ไม่มีใครสามารถบอกแก่กันได้ นอกจากนักภาวนาจะมีกึ๋นและเห็นและเข้าใจได้เองเท่านั้น

การหยุดของ มโน ก็คือ สติ ที่ไปควบคุมจิต นักภาวนาต้องฝึกสติจนมั่นคงและฝึกจนกำกับจิตได้อย่าง*อยู่หมัด* ที่จิตไม่ไปสร้าง มโน ขึ้นมา เราฝึกฝนมา ทนทรมานกับการฝึกฝน ก็เพื่อให้ได้สิ่งนี้มา **สติที่ควบคุมจิตได้** ไม่ใช่ว่า ภาวนาแล้วไม่ได้อะไร แต่เราได้ ในสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่สามารถสัมผัสได้ต่างหาก ทางเดินมีอยู่ เพียงเดินให้ถูกทางตามคำสอน อาตาปี สัมปชาโน สติมา แล้วละเอียดในการสังเกตสภาวะ ฝึกจิตจนมีสติควบคุมจิตได้ นี่แหละคือการภาวนา รู้สึกตัวอย่างเดียวนะไม่พอครับ ต้องมีสติกำกับด้วย



Create Date : 04 มิถุนายน 2555
Last Update : 7 มิถุนายน 2555 8:30:53 น. 2 comments
Counter : 1973 Pageviews.

 
สาธุ เจ้า


โดย: gripenator วันที่: 4 มิถุนายน 2555 เวลา:12:22:08 น.  

 
สวัสดีวันพระใหญ่ 2600 ปี เปี่ยมบุญ มากความสุข ครับ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆที่นำมาฝากนะครับ


โดย: **mp5** วันที่: 4 มิถุนายน 2555 เวลา:13:14:11 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.