1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30
อะไรคือ การทำสมถะ ในการภาวนา
ปัญหาหนี่งของนักภาวนา คือ การไม่เข้าใจในคำสมมุติทีตั้งขึ้นมา แล้วนำมาซี่งปัญหาในการภาวนา คำว่า " สมถะ " เป็นคำสมมุติคำหนี่งของพุทธศาสนา มีคนเป็นจำนวนมากทีแปลว่า การทำจิตให้สงบ มันก็ถูก ภาวนามือใหม่ทีเพิ่งเข้าวงการจะเข้าใจอย่างนี้ แต่ถ้าใครภาวนามานานจนมีประสบการณ์ในภาวนาเพื่อการพ้นทุกข์แบบพุทธศาสนาทีสอนไว้ จะเข้าใจได้เองว่า ทีว่า สมถะ คือ การทำจิตให้สงบ นั่นถูก แต่ถูกเพียงส่วนหนี่ง อีกมีอีกบางส่วนของเหตุผลในการทำสมถะยังไม่ได้กล่าวถีง มีการสอนกันมากในการภาวนาว่า >>>> ต้องทำจิตให้สงบก่อนด้วยสมถะ แล้วจึงยกจิตเพื่อพิจารณาอันเป็นการเดินวิปัสสนาได้ .....แต่ก็มีบางอาจารย์สอนว่า >>>>> สมถะไม่ต้องทำ จิตมันสงบอยู่แล้ว จะทำไปทำไม การไปทำนี่ จะยิ่งทำให้จิตไม่สงบ ...บางอาจารย์ก็สอนว่า >>>>> วิปัสสนาทำไม่ได้ ต้องให้เกิดเอง เพราะเป็นธรรมชาติ ถ้าไปทำ ก็ไม่ใช่ธรรมชาติ เป็นการปรุงแต่ง ถ้าไปทำ เป็นวิปัสสนาปลอม คือ ไม่ใช่วิปัสสนาแท้ ๆ .................................. ผมไม่สรุปให้ครับว่า คำสอนใครผิดใครถูก แต่ผมจะยกพระไตรปิฏกขึ้นมาอ้างถีง คือ สมาธิสูตร ผมขอนำมาเขียนในแบบภาษาชาวบ้านอ่าน ได้ความว่า.... ภิกษุ จงเจริญสมาธิเถิด เมื่อจิตตั้งมั่น จักรู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง... จะเห็นว่า พระไตรปิฏก ไม่ได้เขียนไว้เลยว่า ให้ทำสมถะให้จิตสงบแล้วจึงยกจิตขึ้นเจริญวิปัสสนา แต่พระไตรปิฏกเขียนว่า ให้ทำสมาธิจนจิตตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นจักรู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง การรู้เห็นธรรมตามความเป็นจริงก็คือ วิปัสสนา พระไตรปิฏกเขียนไว้แล้วว่า วิปัสสนา ไม่ใช่การทำขึ้นมา แต่เป็นการรู้เห็นความเป็นจริงของธรรมเมื่อจิตตั้งมั่นอยู่ พระไตรปิฏกเขียนไว้อย่างนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านใช้ปัญญาพิจารณาเอาเองครับว่า คำสอนใดน่าจะเชื่อถือหรือไม่อย่างไร ******************* ทีนี้ ผมจะเขียนอธิบายว่า สมถะ ทีทำนั้น ทำเพื่ออะไรในการดับทุกข์ 1...คนมักเข้าใจว่า การทำสมถะ คือ การฝีกจิต ให้จิตรู้ในสิ่งเดียว เช่น การไปจ้องรู้ลมทีปลายจมูก หรือ การไปจ้องรู้เท้าเวลาเดินจงกรม หรือ การไปจ้องรู้ท้องพองยุบเวลาหายใจ หรือ ไปจ้องลูกแก้วทีในท้อง หรือ ไป จดจ่ออยู่ทีคำภาวนา ผมไม่ปฏิเสธครับว่า การกระทำดังกล่าว เมื่อทำแล้ว จิตจะสงบ นั่นถูกต้อง แต่การสงบแบบนี้ เป็นการสงบ ทีไปขัดแย้งกับคำสอนในอริยสัจจ์ 4 ทีว่า ตัณหา คือ การยีดติด ให้ละเสีย ( อริยสัจจ์ 4 ข้อที 2 ) การไปจดจ่อรู้แบบนี้ จึงเป็นตัณหาทีจิตไปจับยีด แทนทีการภาวนาจะทำโดยให้ละตัณหา ดังคำสอนในอริยสัจจ์ 4 แต่กลับไปสร้างตัณหาขึ้นมายีดติดซะอย่างนั้น แต่ถ้าใครพอใจจะทำ ก็เป็นสิทธิของนักภาวนา ไม่มีใครห้ามได้ แต่ผมเพียงชี้ให้เห็นว่า การกระทำดังกล่าว จะขัดแย้งกับคำสอนในอริยสัจจ์ 4 ข้อที 2 ในเรื่องของการละตัณหา แต่กลับไปสร้างตัณหาขึ้นมาในการภาวนา เมื่อทำการภาวนาแล้วขัดแย้งกับคำสอน การภาวนาจะก้าวหน้าตามคำสอน ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังท่านทีภาวนามานานเป็น 10 ปี ย่อมรู้แก่ใจดีว่า ทำไมถีงภาวนาแล้วยังไม่ไปไหนเลย ไม่ก้าวหน้าเลย... ผมแนะนำให้ท่านพิจารณาเอาเองดังในตอนที 1 นี้ว่า สิ่งทีท่านทำการภาวนานั้น ขัดแย้งกับคำสอนในอริยสัจจ์ 4 หรือไม่ 2..ในการเจริญ สมถะ เพื่อการพ้นทุกข์ ทีจะไม่ขัดแย้งกับอริยสัจจ์ 4 ก็คือ การทีมีความตั้งใจในการภาวนา **** เพียงตั้งใจในการภาวนา ก็เป็นสมถะแล้วครับ *** เพราะความตั้งใจนี่แหละ ทำให้จิตมันนิ่งได้ทันที จิตจะสงบทันที เพียงตั้งใจฝีกฝนสติปัฏฐาน 4 แบบไม่มีการยีดติดดังข้อที 1 ก็เป็นการฝีกฝนทีดี เพื่อตรงเข้าสู่องค์มรรคในทันที แต่ท่านนักภาวนาต้องรู้ว่า การฝีกฝนสติปัฏฐาน 4 แบบไม่ยิดติดนั้น ทำได้อย่างไรก่อน แล้วจึงตั้งใจทำการฝีกฝนนั้นต่อไป เมื่อทำการฝีกฝนไปก่อนด้วยความตั้งใจสักพักหนี่ง สักระยะหนี่งแล้ว ต่อเมื่อละทิ้งความตั้งใจในการฝีกฝน จิตก็จะเข้าสู่โหมดของวิปัสสนาได้เองทันที โดยไม่ต้องไปยกจิตอะไรขึ้นมาทำอะไรเลย เพราะการยกจิตยังเป็นการตั้งใจกระทำ วิปัสสนาย่อมเกิดไม่ได้ถ้ามีความตั้งใจในจิตอยู่ 3.. ทำ สมถะ เพื่อการผ่อนคลายของจิตและกาย นักภาวนาทีผ่านการภาวนามาแล้วเป็นอย่างมาก จะพบได้เองเลยว่า ในยามปกตินั้น จิต และ กาย มันตึงเครียดอยู่เสมอ คนทั่วไป จะเข้าใจในเรื่องนี้ได้ยาก เพราะยังไม่รู้จักสภาวะของความตึงเครียดทีเกิดขึ้นทีใจและกาย แต่บางคนทีทำงานหนัก ก็พบได้ด้วยตนเองว่า มีความตึงเครียด ก็มักหาทางออกแบบโลก ๆ ด้วยการไปพักผ่อนต่างจังหวัด ไปเที่ยวดูหนัง ไปรับประทานอาหารอร่อย ๆ แต่ในทางภาวนา สามารถสลายความตึงเครียดได้ในด้วยการทำภาวนา วิธีการ สมถะ เพื่อการผ่อนคลาย สามารถอ่านได้จากบทความนี้ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=08-2015&date=09&group=17&gblog=132 **************************** เรื่องท้ายบท ในพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกแสวงหาโมกขธรรม เจ้าชายไปเรียนวิชาการทำสมาธิกับพระอาจารย์ฤาษี 2 ท่าน จนสำเร็จฌานสมาบัติขั้นที 8 อันเป็นขั้นสูงสุด แต่ด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์ พระองค์ทรงทราบว่า วิชาสมาธิฌานสมาบัติ 8 นี้ไม่ใช่หนทางทีพระองค์ทรงค้นหา แล้วพระองค์ก็ทรงออกจากสำนักแล้วเดินทางต่อไป ต่อมาเจ้าชายทรงค้นพบ ทางสายกลาง อันมีอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นหนทางปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ เจ้าชายได้พบความจริง จึงทรงประกาศ อริยสัจจ์ 4 อันเป็นแก่นพุทธศาสนาให้แก่ชาวพุทธ ไว้ศีกษาปฏิบัติและเดินตาม อริยสัจจ์ 4 นั้น ข้อที 1 ทุกข์ ให้ รู้ ข้อที 2 สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา ให้ละเสีย ข้อที 3 นิโรธ คือ ความไม่ทุกข์ ให้ทำให้เข้าใจ ให้แจ่มแจ้งขึ้นมาในจิตให้ได้ ข้อที 4 มรรค คือ หนทางการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ อันได้แก่ทางสายกลาง อันมี มรรค 8 เป็นวิธิการ พระไตรปิฏก ยังเขียนไว้ในสติปัฏฐาน 4 ว่า ถ้าใครปฏิบัติแล้ว อย่างช้า 7 ปี อย่างเร็ว 7 วัน จักสำเร็จเป็นพระอรหันต์หรือไม่ก็พระอนาคามี ถ้าท่านนักภาวนาทีภาวนามานานเกิน 7 ปี ยังไม่เป็นพระอนาคามี ก็ขอให้สำรวจเถิดว่า สิ่งทีท่านเข้าใจในการภาวนานั้น ท่านเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไปจากคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่ในข้อใด เมื่อทราบแล้่วก็ขอให้ปรับเปลี่ยนใหม่ เมื่อตรงทางองค์มรรค ย่อมเข้าสู่กระแสแห่งมรรค แล้วความหลุดพ้นย่อมปรากฏไปตามลำดับของการพัฒนาญาณปัญญาของจิตเอง บทความนี้ ฝากไว้พิจารณา อย่าได้เชื่อถือ แต่ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาคำสอนของพระพุทธองค์ให้ดีเถิด แล้วพิสูจน์ด้วยตนเองครับ แนะนำอ่าน...รื่องของ สมาธิ ภาค 1 -ลักษณะของสัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=07-2010&date=02&group=8&gblog=53
Create Date : 26 กันยายน 2558
Last Update : 26 กันยายน 2558 9:34:08 น.
0 comments
Counter : 3528 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****