สมาธิ เป็นเช่นไร
สมาธิ เป็นเช่นไร . ได้กล่าวถึงเรื่อง สติไปแล้วที่นี่ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=11-2017&date=24&group=17&gblog=162 . ใครทีอ่าน อาจไม่ตื่นเต้น เพราะคิดว่า รู้แล้ว เรื่องง่าย ๆ แต่ผมจะบอกว่า อย่าประมาทเรื่องสติ ความเข้าใจเรื่องสติ นี้ ถ้าเข้าใจผิดละก็ ไม่มีทางไปต่อได้เลย ไม่มีทางเข้าทางแห่งมรรคได้เลย เช่นกัน ทีพลาดกัน ก็คือ คนมักไปจ้อง นี่แหละ ทีพลาดกัน . สำหรับสมาธินั้น ก็จะมี 2 แบบเช่นกัน 1..สมาธิแบบฤาษี 2.. สัมมาสมาธิ . สมาธิแบบฤาษี นั้น ก็คือ การไปจ้องมองสิ่งต่างๆ ด้วยดวงตาทีตามองเห็นนั่นแหละ ซึ่งตาทีมองเห็นได้ จะเป็นวัตถุในโลกภายนอกทั้งสิ้น ทีนี้ บางคนก็จะแย้งว่า ทำไมสติปัฏฐาน 4 ให้ไปเพ่งซากศพละ ซึ่งมีในหมวดกายใน สติปัฏฐาน 4 ตรงนี้ ผมจะตอบข้อสงสัยต่อไป ขอให้อ่านต่อไปก่อน . สัมมาสมาธิ นั้น เป็นสมาธิทีเจ้าชายทรงประกาศไว้ในมรรค 8 แล้วต่างกับสมาธิแบบฤาษีอย่างไร ก่อนอื่น ท่านต้องเข้าใจคำว่า สัมมาสติก่อน ซึ่งผมได้เขียนไปแล้ว ดัง link ทีให้ไว้ สัมมาสติ คือ การรู้สึกไปทีอาการกาย ใจ รู้สีกได้ทีเป็นไปเอง ไม่ได้เพ่งจ้อง ความรู้สึกนี้ ถ้าสามารถรู้ได้ต่อเนื่องได้ตลอด นีคือ สัมมาสมาธิ . แต่ถ้าสัมมาสติทำงานอยู่ รู้สีกได้อยู่ แล้วต่อไปหลุดออกคือไม่รู้สึกไปพักหนี่ง แล้วกลับมารู้สึกใหม่อีก นี่คือ การหลุดออกจากสัมมาสติ ซึ่งแปลว่า สัมมาสมาธิ ได้หลุดออกไปชั่วขณะ . ในตัวอย่างของสัมมาสติ ผมได้เขียนถึง การลูบแขน แล้วรู้สึกได้ถึงการสัมผัสของก้นกับเก้าอี้ และ รู้สีกได้ถึงลมทีพัดโดนตัวบ้างไม่โดนตัวบ้างจากพัดลมทีส่ายไปมา สมมุติว่า ท่านกำลังฝีกฝนดังกล่าวอยู่ แล้วจู่ ๆ มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ท่านยังนั่งอยู่ทีเดิม แต่หูของท่านได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ท่านไปสนใจในเสียงทีได้ยิน แล้วท่านไม่รู้ก้นที่สัมผัสกับเก้าอี้ทีเคยรู้ก่อนหน้าทีโทรศัพท์จะเข้ามา นี่คือ ท่านหลุดจากสัมมาสมาธิแล้ว . อ่านดูไม่ยากใช่ใหมครับ แต่ถ้าท่านปฏิบัติเอง ท่านจะพบว่า ยากมาก เพราะเป็นการง่ายมาก ทีนักภาวนาจะหลุดจากสัมมาสติ เมื่อมีอะไรเข้ามารบกวนจิตใจ ดั่งเช่น เสียงโทรศัพท์ทีดังขึ้นในขณะทีท่านฝีกลูบแขน . ในการปฏิบัติเพื่อฝีกสัมมาสมาธินั้น จะมี 2 แบบ คือ แบบที่ 1 เรียบๆ ง่ายๆ แบบนี้ ท่านฝีกสัมมาสติไปเรื่อยๆ โดยไม่ให้มีอะไรรบกวนเลย แบบนี้่จะง่ายหน่อย แต่การก้าวหน้าของสัมมาสมาธิจะช้า . แบบที 2 แบบผาดโผน แบบนี้ ท่านฝีกสัมมาสติ ไป แล้วให้มีอะไรรบกวนท่านตลอดเวลา ถ้าท่านหลุด ก็ให้เริ่มใหม่ ท่านจะพบว่า ถ้าท่านฝีกใหม่ๆ ท่านจะหลุดง่ายมากทีเดียว เพราะการรบกวนมีตลอด แต่เมื่อหลุดแล้วเริ่มใหม่ ท่านฝีกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ การก้าวหน้าของสัมมาสมาธิจะไปได้เร็วกว่าแบบที 1 . ในการฝีกแบบผาดโผนนี้ ท่านอาจใช้วิธีการดูทีวีแทนการลูบแขน เช่นกัน เมื่อท่านนั่งดูทีวี แล้วท่านยังรู้สึกได้ถึงการสัมผัสของก้นกับทีนั่งได้ นั่นคือ ท่านไม่หลุด แต่ถ้าท่านไม่รู้สีกของการสัมผัส แปลว่า ท่านหลุดแล้ว ลองฝีกแบบผาดโผนนี้ดู ท่านจะพบเองว่า ยากมาก . ทีนี้มาถึงคำถามทีว่า ในสติปัฏฐาน 4 ทีให้เพ่งซากศพนั้น การเพ่งเป็นสมาธิฤาษีครับ แต่พอเพ่งแล้ว จิตใจเกิดสลดสังเวซขึ้น พอสัมมาสติไปรับรู้อาการสลดสังเวชของจิตใจได้ นี่คือ สัมมาสมาติ ถ้าการรับรู้การสลดวังเวชได้ตลอด นั่นคือ สัมมาสมาธิทีเกิดขึ้น . การเพ่งซากศพ คนใหม่ๆ จะรู้สึกกลัว เพราะซากศพน่าขยะแขยงมาก การกลัวทีเกิดในจิตใจ คือ โทสะอย่างหนี่ง ถ้าในการเพ่งซากศพ แล้วจิตใจเกิดกลัว ถ้าสัมมาสติไปเห็นถึงอาการกลัวนี้ได้ ก็เป็นผลดีต่อผู้ฝีกฝน เพราะถ้าสัมมาสติไปเห็นอาการกลัวได้ อาการกลัวจะสลายตัวลงไปเป็นไตรลักษณ์ทันที นักภาวนาจะได้ปัญญาจากการเห็นไตรลักษณ์นี้ นีคือข้อดีของการเพ่งซากศพ . ท่านจะเห็นว่า สัมมาสมาธิ ไม่ใช่การทำให้จิตนิ่ง การทำจิตนิ่ง เป็นสมาธิฤาษี แต่สัมมสมาธิ คือ การรู้สึกได้ของสัมมาสติทีต่อเนื่อง การรู้สีกได้นี้ ถ้าไปรู้สีกได้ของไตรลักษณ์ทีเป็นกิเลส นักภาวนาจะได้ปัญญาตามมา . การรับรู้ไตรลักษณ์ของกิเลสได้บ่อยๆ จะทำให้เกิด ญาณ ตามมาในภายหลังได้อีก ญาณทีเกิดขึ้นจากการเห็นไตรลักษณ์ได้นี้ จะทำให้เกิดดวงตาเห็นธรรม ซึงในตำรา เมื่อดวงตาเห็นธรรมเกิด ก็คือ นักภาวนาท่านนั้นตกกระแสพระนิพพาน . เข้าใจสัมมาสติ สัมมาสมาธิให้ตรง ฝีกฝนให้ตรงต่อองค์มรรค ท่านจะหลุดพ้นได้จากกองทุกข์
Create Date : 24 พฤศจิกายน 2560 |
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2560 20:20:53 น. |
|
0 comments
|
Counter : 972 Pageviews. |
|
|