ฌานแบบฤาษี ฌานแบบพุทธ ต่างกันอย่างไร
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องเหมือนท่านอื่น หรือ เหมือนตามตำรา ขอให้อ่านแล้วใช้ปัญญาพิจารณาด้วยตนเอง
การภาวนาแบบฤาษีนั้น มีอยู่ก่อนที่เจ้าชายสิทธิตถะจะทรงตรัสรู้ รู้แจ้งในธรรมแห่งอริยสัจจ์ 4 และ ปฏิจสมุปบาท
ในพุทธประวัติ เมื่อเจ้าชายได้ตัดสินใจออกแสวงหาโมกขธรรม พระองค์ได้ออกจากพระราชวังแล้วได้ไปเรียนวิชากับอาจารย์ฤาษี 2 ท่านในสมัยนั้น จนเจ้าชายได้สำเร็จสมาบัติ อันเป็นวิชาสูงสุดของสมาธิแบบฤาษีในสมัยนั้น
วิชาฤาษี จะมีชื่อเรียกว่า รูปฌาน มี 4 ระดับ และ อรูปฌาน มี 4 ระดับ รวมเป็น 8 ระดับ
เจ้าชายครั้นเมื่อสำเร็จในวิชาของฤาษีแล้ว พระองค์ก็ทรงรู้ด้วยปัญญาของพระองค์เองว่า วิชาของฤาษีนี้ไม่ใช่โมกขธรรม ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้นไปจากการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
แล้วเจ้าชายก็เสด็จออกจากสำนักฤาษี แล้วต่อมา พระองค์ก็ได้พบวิชชาอีกแบบหนี่งที่สามารถทำให้หลุดพ้นไปจากการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วพระองค์ก็ได้ทรงประกาศหลักธรรมของธรรมชาติ คือ อริยสัจจ์ 4 อันเป็นธรรมทีเป็นแก่นของพุทธศาสนา
วิชชา ที่เจ้าชายทรงค้นพบ ต่างกับ วิชาของฤาษี 8 ระดับทีตรงไหน นี่คือ จุดหมายในบทความนี้ทีผมจะบอกท่านนักภาวนา
จุดต่างในวิชชาของพุทธศาสนา ก็คือ การเพ่งลงลงไปใน**จิต** แต่วิชาของฤาษี เป็นการเพ่งที **ไม่อยู่ในจิต** นี่คือ ความแตกต่าง
เมื่อวิชชาในพุทธศาสนาเป็นการเพ่งลงในจิต ก็เป็น ฌาน เช่นกัน เพราะ ฌาน แปลว่า เพ่ง แต่การเพ่งของพุทธศาสนาลงไปในจิต จะเรียกว่า สัมมาฌาน
เพราะฤาษี ไม่เคยรู้จักจิต ก็เลยไม่สามารถพบหลักธรรมแห่งการพ้นทุกข์แบบเจ้าชายทีทรงค้นพบได้ เพราะสิ่งทีใช้เพ่งต่างกัน คือ ในจิต และ ไม่ใช่ในจิต
ถ้าท่านบอกว่า ท่านเป็นพุทธ กำลังปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ตามหลักการแห่งอริยมรรคมีองค์ 8 แต่ท่านยังคงไปเพ่ง ที่เท้าเวลาเดินจงกรม ไปเพ่งปลายจมูกเวลาดูลมหายใจ ไปเพ่งมือเวลาภาวนาแบบหลวงพ่อเทียน ไปเพ่งท้องเพื่อดูพองยุบ การเพ่งดังกล่าวนั้นล้วนแต่อยู่นอกจิตทั้งสิ้น เมื่อเป็นการเพ่งอยู่นอกจิต ท่านบอกว่า ท่านกำลังภาวนาแบบพุทธศาสนา แต่ความจริงแล้ว ท่านกำลังเดินตามแบบฤาษี
เมื่อผมเขียนอย่างนี้ ท่านทีกำลังภาวนาแบบทีผมยกตัวอย่างข้างบน อาจโกรธเคืองในสิ่งทีผมเขียน ผมได้บอกในตอนต้นแล้วว่า ผมเขียนจากความเห็นของผมเอง ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร ถ้าท่านรับไม่ได้ ก็ขอให้ผ่านบทความนี้ไปเสีย แล้วท่านจะเดินทางการภาวนาอย่างไร ก็เป็นเรื่องของท่าน ผมไม่ขอเกี่ยวข้อง แต่ถ้าท่านเกิดสะดุดใจในสิ่งทีผมเขียนว่า สิ่งทีท่านกำลังทำอยู่ เป็นฤาษี หรือ เป็นแบบพุทธ ก็ขอให้พิจารณาให้ละเอียดด้วยปัญญาของท่านต่อไป
ในการเพ่งลงไปที จิต นั้น จะมีด้วยกัน 2 ส่วน คือ 1..จิต ในส่วนทีเรียกว่า มโน 2..จิต ในส่วนทีเรียกว่า จิตผู้รู้
ถ้าท่านเพ่งลงไปในจิตทีเรียกว่า มโน ท่านจะพบว่า เมื่อท่านเพ่งลงไปใน มโน ท่านจะพบกับอาการในสติปัฏฐาน 4 ทุก ๆ ตัวในสติปัฏฐาน 4 ทีกล่าวโดยย่อว่า กาย เวทนา จิต ธรรม ซี่งหมายความว่า ถ้าท่านเพ่งแล้ว ท่านพบ กาย เวทนา จิต ธรรม พร้อม ๆ กันครบถ้วนในคราวเดียว นั่้นแหละ ท่านกำลังเพ่งลงไปใน มโน ซึ่งเป็นการเพ่งลงไปในจิต
ในพระไตรปิฏก ได้กล่าวถึงพระใบลานเปล่า ทีท่านเรียนแต่หนังสือธรรมจนเชี่ยวชาญในธรรมบรรยาย แต่ท่านไม่ได้ภาวนา เมื่อพระพุทธองค์เรียกท่านว่า พระใบลานเปล่า ท่านก็สะดุดใจ แล้วไปเรียนวิชากับเณรทีเป็นลูกศิษย์ของท่าน เณรลูกศิษย์ท่านให้คำใบ้ในการภาวนาเรื่องจอมปลวกและตัวแย้ เนื่องจากท่านพระใบลานเปล่า เป็นผู้เชียวชาญอยู่แล้วในธรรมบรรยาย พอท่านได้ฟังคำใบ้จากเณรลูกศิษย์ ท่านก็เข้าใจทันทีว่า คืออะไร แล้วท่านก็ลงมือภาวนา ไม่นาน ท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์
เณรลูกศิษย์นั้นบอกคำใบ้ให้แก่ท่านพระอาจารย์ใบลานเปล่า ก็คือ การเพ่งลงไปใน มโน นั้นเอง
เมื่อเพ่งลงไปใน มโน ก็จะพบกับจิตตัวที 2 ก็คือ จิตผู้รู้
เมื่อพบจิตผู้รู้ พบ มโน ได้ ก็จะพบกับความไม่เที่ยงแต่จิตผู้รู้ เพราะจิตผู้รู้นั้นแฝงไปด้วยอวิชชาอยู่
เมื่อทำลายอวิชชาลงไปได้ ก็จะพบกับสุญญตาสภาวะหรือนิพพานได้ต่อไป
จะเป็นว่า แนวทางการหลุดพ้นในพุทธศาสนานั้น ต้องใช้สัมมาฌาน เพ่งลงไปในจิต แล้วทำลายอวิชชาทีหุ้มห่อจิตผู้รู้ เมื่ออวิชชาถูกทำลาย ก็พบกับความรู้แจ้งแห่งธรรมชาติ
***บทสรุป
ฤาษี ทำไมไม่เห็นธรรม เพราะฤาษีไปเพ่งสิ่งทีอยู่นอกจิต จึงเป็น รูปฌาน อรูปฌาน พุทธศาสนา เห็นธรรม เพราะไปเพ่งลงไปในจิต เรียกว่า สัมมาฌาน นีคือความต่าง
Create Date : 21 มีนาคม 2557 |
Last Update : 21 มีนาคม 2557 10:50:37 น. |
|
1 comments
|
Counter : 3546 Pageviews. |
|
|
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=20-08-2010&group=8&gblog=100