นกน้อยในกรงทอง
การเป็นนกตัวน้อยทีอยู่ในกรงทองในบ้านเศรษฐี นกน้อยนี้อาจรู้สีกดีและอาจรู้สีกได้ถีงความโชคดีทีมีมากกว่านกพเนจรทีมีอยู่มากมายในโลกใบนี้ พอถีงเวลา ก็มีอาหารมาให้ ไม่ต้องบินไปหาเองให้เหนื่อยยากลำบากและอันตราย เวลาไม่สบายเจ้าของก็พาหาหมอรักษาให้หายได้เร็ว เวลาร้อนก็มีพัดลมเป่าให้คลายร้อน เวลาหนาวก็มีผ้ามาคลุมกรงให้อบอุ่น
ถ้านกน้อยนี้พอใจเพียงเท่านี้ ก็เป็นสิทธิของนกน้อย
แต่ถ้านกน้อยได้ฉุุกคิดว่า ชาตินี้โชคดีปานฉะนี้ ชาติหน้าจะได้แบบนี้อยู่หรือไม่ แล้วชาติต่อ ๆ ไปละจะเป็นอย่างไร
เส้นทางการภาวนานั้น ถ้านักภาวนาไม่ฉุกคิดดังนกน้อย เพียงพอใจกับความสงบระงับในความสงบ ซึ่งดูเหมือนจะดีและถูกต้องในคำสอนในพุทธศาสนาแล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้นยังคลาดเคลื่อนอยู่
เมื่อไม่ทุกข์ร้อนใจ ก็คือ ผลแห่งความสงบในจิตใจนั้น จะมีเหตุมาจาก 3 ประการคือ
1..แรงกระทบทีรับเข้ามาทีผ่านทางอายตนะนั้นมีกำลังทีต่ำ ไม่สามารถก่อให้เกิดจิตใจทีสั่นสะเทือนได้ หรือ นักภาวนาปิดหู ปิดตาตัวเอง ไม่ได้ออกไปสู้กับชีวิตจริงในโลกที่โหดร้าย เก็บตัวเงียบในบ้าน ในสำนัก ไม่สุงสิงกับใคร
2..นักภาวนามีการกระทำบางอย่าง เป็นการกดจิตใจตนเองไว้ให้สงบ
3..นักภาวนาภาวนาจนได้ผลแห่งความสงบทีเกิดขึ้นได้แล้วในจิตใจ
ผลแห่งการภาวนาทีมีผลแห่งความสงบได้นั้น เกิดจากการมีสติ สัมปชัญญะ ในเบื้องต้น และ ญาณปัญญา ในตอนท้าย
แต่ถ้านักภาวนาพยายามให้มีสติโดยการจงใจให้มีการกระทำอะไรบางอย่าง เช่น การบริกรรมอยู่ตลอดเวลาไม่ยอมหยุดบริกรรม หรือ การจงใจทีจะรู้อะไรบางอย่างตลอดเวลาไม่ให้หลุดเลย นั่นคือการกระทำในข้อ 2 อันเป็นการกดจิตใจตนเองไว้ให้สงบ
เรื่องการกดจิตใจให้สงบ มีคำสอนมากมายในปัจจุบันในหลายสำนัก หลายครูบาอาจารย์ ซึ่งผมไม่ข้อเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ผมจะให้ข้อคิดอะไรบางอย่างให้แก่ท่านนักภาวนา ขอให้ใช้ปัญญาในการพิจารณาด้วยตนเอง
ในพระไตรปิฏก ได้กล่าวถีงปฐมเทศนากับปัญจวัคคีย์ พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนปัญจวัคคีย์ไว้ กล่าวโดยย่อว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สิ่งใด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่สมควรทีจะไปยีดถือว่า นั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา
เมื่อท่านโกณทัญญะ ได้ฟังแล้วเกิดความรู้แจ้ง พระพุทธองค์ทรงอุทานว่า โกณทัญญะรู้แล้วหนอ
ประเด็นหลักทีผมยกคำสอนของพระพุทธองค์นี้มาแสดงใน blog ของผมอยู่บ่อยๆ เพราะนี้คือ พื้นฐานแห่งปัญญาในพุทธศาสนาทีว่า พระพุทธองค์ทรงสอนให้พุทธบริษัทรู้ความไม่เที่ยงในขัน ธ์ 5 แล้วเกิดปัญญาขึ้นว่า ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆ เรา
เพื่อให้เกิดปัญญานี้ขึ้น นักภาวนาพีงให้เกิดความรู้แจ้งทีว่า ขันธ์ 5 นั้นไม่เที่ยงให้ได้ก่อน การรู้แจ้งทีจะทำให้เกิดปัญญาได้ว่าไม่เที่ยง คือ ความรู้แจ้งทีมาจากผลของสัมมาสมาธิ ทีมีจิตตั้งมั่นอยู่ในฐานของจิต จิตไปรู้เห็นอาการความไม่เที่ยงในขันธ์ 5 อย่างแท้จริง ไม่ใช่การไปนีกคิดเอาเองว่า ขันธ์ 5 ไม่เทียง
ท่านอาจจะสงสัยว่า จะรู้ได้อย่างไรว่า การรู้เห็นอาการของขันธ์ 5 ว่าไม่เที่ยงมาจากสัมมาสมาธิ ไม่ใช่การนึกคิดเอาเอง
เรื่องนี้ผมจะให้หลักการไว้ให้ท่านดังนี้...
A..เป็นการรู้ทีเกิดขึ้นเพราะมีความรู้สีกเกิดขึ้น แล้วความรู้สีกนั้นจะเกิดวูบวาบแล้วเปลี่ยนแปลงหรือหายไปอย่างรวดเร็ว ดังเช่น พอความคิดเกิดขึ้น นักภาวนาจะรู้สีกวูบขึ้นของพลังงานอะไรบางอย่าง ทีคนเรียกว่า ความคิด พอรู้สีกได้ พลังงานนั้นจะดับสลายลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งในข้อนี้ นักภาวนาบางท่าน อาจเห็นได้ถีงพลังงานมันโผล่วูบขึ้นมาด้วยก็ได้
B..ถ้าอาการของขันธ์ 5 ไม่ดับง่ายๆ ดังข้อ 1 เช่น นักภาวนานั่งสมาธิจนเกิดขาชา อาการขาชาไม่หายง่ายๆ ถ้าเกิดแบบนี้ขึ้น นักภาวนาจะพบว่า อาการขาชานั้นจะอยู่ห่างออกมา และ อาการนั้นมันไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเราทีไปขาชา จิตนักภาวนาจะไม่ดิ้นรนเพราะความเจ็บปวดทีเกิดขึ้น เพียงแต่เฝ้ารู้อยู่อย่างเฉยๆ เท่านั้น
C..บางครั้ง นักภาวนาจะเห็นตัวจิต มันแยกห่างออกจากอาการในขันธ์ 5 อย่างเด่นชัด
ผลแห่งการรู้เห็นอาการของขันธ์ 5 นี้แหละ เมื่อรู้เห็นไ้ด้เสมอๆ รู้เห็นได้บ่อยๆ จะเกิดปัญญารู้ขึ้นว่า อาการเหล่านี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา
ในขณะทีจิตรู้อาการของขันธ์ 5 ทีไม่เทียงนี้แหละ จิตจะสงบตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ เมื่อจิตยิ่งรู้ความไม่เทียงแห่งอาการในขันธ์ 5 จิตยิ่งสงบและตั้งมั่นมากขึ้น
จะเห็นว่า การไปปิดกั้น ไม่ให้จิตไปเห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ 5 ย่อมเป็นการปิดกั้นปัญญาของจิตเอง
ต่อเมื่อจิตได้มีปัญญาเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ จิตจะมีพัฒนาการขึ้นจนเกิดญาณ จิตจะมีความสามารถทีจะเห็นตัวจิตเองได้ว่า ตัวจิตเองนี้ในความเป็นปกตินั้น จิตจะสงบอยู่แล้ว ส่วนทีไม่สงบทีแปรเปลี่ยน สั่นไหว นั่้นคือ ขันธ์ 5 ทีไม่ใช่ตัวจิต นี่คือ ความสงบทีมาจากญาณปัญญาของจิตเอง
เมื่อนักภาวนามีญาณปัญญาจนมีความสามารถเห็นตัวจิตได้อยู่เนือง ๆ เห็นความสงบในจิตใจทีเกิดขึ้นเมื่อเห็นตัวจิตทีสงบอยู่นี้ นี่เป็นผลของการภาวนาทีได้ผลจนรู้แจ้งใน นิโรธ อันเป็นอริยสัจจ์ 4 ข้อที่ 3
นี่คือหนทางในมรรค และ การพัฒนาปัญญาในหลักการแห่งพุทธศาสนาเพื่อการพ้นทุกข์ ซึ่งมีขั้น มีตอน มีลำดับ ของการพัฒนาปัญญา
ขอให้ท่านนักภาวนาพิจารณาเองเถิดว่า วิธีการภาวนาทีท่านกำลังทำอยู่นั้น ได้สอดคล้องกับวิธีทางแห่งการเกิดขึ้นของปัญญาเพื่อการพ้นทุกข์ได้หรือไม่
Create Date : 07 มีนาคม 2557 |
|
0 comments |
Last Update : 7 มีนาคม 2557 10:36:21 น. |
Counter : 2322 Pageviews. |
|
|
|