รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2564
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
11 มีนาคม 2564
 
All Blogs
 
ทุกข์ทางใจ ทุกข์ทางกาย ในการภาวนา เป็นอย่างไร

1....บทความนี้ จะได้เขียนถึงเรื่องทุกข์ในการภาวนา ซี่งทุกข์ในทางภาวนา จะมี ทุกข์ทางกาย และ ทุกข์ทางใจ
      บทความนี้ อาจจะค่อนข้างอ่านยาก และ ยากจะเข้าใจได้ 
ขอให้ท่านทีสนใจจริงๆ  อ่านด้วยความตั้งใจ และ คิดพิจารณาตาม ก็สามารถจะเข้าใจได้
ด้วยทีใช้ภาษาชาวบ้านแบบง่าย ๆ 
.
2...เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ได้ทรงตรัสถึง # เรือน # 
แล้ว # เรือน # คืออะไร เกี่ยวข้องกับ ทุกข์ อย่างไร
.
      ในพุทธศาสนาได้มีคำว่า จิต และหน้าทีของจิต ทีมีสารพัดอย่าง (ท่านทีสนใจเรื่องหน้าทีของจิตสามารถศึกษาได้จากตำรา พระอภิธรรม )
แต่ในแง่ของเรื่องทุกข์ และ การดับทุกข์นั้น จะขอตั้งชื่อพิเศษขึ้นมาเพื่อทำความเข้าใจใน
การอ่านบทความในนี้ต่อไป
.
       ในร่างกายคนนั้น มีอวัยวะน้อยใหญ่จำนวนมาก ทีต่างก็ทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์
ทำไมคนเราจึงหายใจได้  ขับถ่ายได้ ขยับตัวเคลื่อนไหวได้ และ อื่น ๆ   อีกมาก
การทีอวัยวะของคนทำงานได้นั้น จะต้องมีกลไกการขับเคลื่อนให้อวัยวะทำงานขึ้นด้วย
ซึ่ง กลไกทีขับเคลื่อนอวัยวะนี้ ต่อไป ขอเรียกว่า # จิตพลังงาน #
.
     นอกจาก #จิตพลังงาน# ทีใช้ขับเคลื่อนร่างกายแล้ว ยังมีจิตอีกส่วนหนี่ง ทีต่อไปจะขอเรียกว่า 
#จิตตัวรู้#  ซี่งจิตตัวรู้นี้ ทีเกี่ยวข้องกับทุกข์ และ ไม่ทุกข์ จะมีหน้าที 2 อย่าง คือ
>>หน้าที่ที่ หนี่ง ...หน้าทีในการรู้ สิ่งทีเกิดขึ้นจากการทำงานของจิตพลังงาน
>>หน้าที่ที่ สอง... หน้าทีในการเสริมพลังงานให้แรงขึ้น แก่จิตพลังงาน
.
      เมื่อ มนุษย์ เกิดมาแล้ว และ มีการสนใจสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น สิ่งของ ผู้คน และ อื่น ๆ
ซึ่งต่อไป จะเรียกสิ่งของรอบตัวนี้ว่า # โลกภายนอก#
เมื่อ มนุษย์ มีความสนใจในโลกภายนอกเมื่อใด    จิตพลังงาน จะเคลื่อนตัวเข้าไป
ที่แห่งหนี่ง ซึ่ง ที่แห่งนี้ ก็คือ # เรือน # ทีพระพุทธองค์ตรัสถีง  ดังนั้น
# เรือน # ก็คือ สถานที่แห่งหนี่งที่ จิตพลังงาน เคลื่อนตัวเข้าไปแล้วเพื่อทำหน้าที่
อะไรสักอย่างหนี่งขึ้นมา
.
     เมื่อ จิตพลังงานเคลื่อนตัวเข้ามาแล้ว จิตพลังงานก็จะสร้างสิ่งทีเรียกว่า ขันธ์ 5 ขึ้น
เพื่อให้ขันธ์ 5 ไปทำงานทีเกี่ยวข้องกับ โลกภายนอก ได้ 
เมื่อ ขันธ์ 5 ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว  ก็จะมีแรงดึงดูด ดึงให้ # จิตตัวรู้ # เข้ามาร่วมกับจิตพลังงาน
ใน#เรือน#
         เมื่อ จิตพลังงานดึงจิตตัวรู้ เข้ามาในเรือนได้แล้ว จิตพลังงานจะมีพลังงานเสริมจาก
จิตตัวรู้  (หน้าทีของจิตตัวรู้ ในข้อที่ สอง )  ทำให้ จิตพลังงานสร้างขันธ์ 5 สืบต่อไปได้ยาวนาน
ขึ้น การทีจิตตัวรู้ ถูก จิตพลังงานดูดเข้ามาที # เรือน #  ได้ แรงดึงดูดทีดึงเข้ามานี้ ก็ถูกตั้งชื่อ
เรียกว่า #ตัณหา #

      ถ้า จิตตัวรู้ ไม่ถูก จิตพลังงานดึงดูดเข้ามาที # เรือน#  ขันธ์ 5 ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากจิตพลังงาน ก็จะดับลงไป เมื่อขันธ์ 5 ดับลงไปโดยสิ้นเชิง คนก็จะตาย

      กลไกในการสร้างขันธ์ 5 จากจิตพลังงาน ค่อนข้างซับซ้อนมาก แต่จะขออธิบายแบบง่าย ๆ
เพื่อให้เข้าใจการมีชีวิตของคนเราสืบต่อได้อย่างไร

     ในส่วนของจิตพลังงานนั้น  สามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 ส่วน เมื่อเข้าไปสร้างขันธ์ 5 ทีเรือน

       ส่วนที่หนี่ง ก็คือ จิตพลังงานทีเข้าไปทำงานในส่วนทีเป็นปกติของชีวิต ทำให้คนหายใจได้ กินอาหารได้ ขับถ่ายได้ ทำหน้าทีปกติของทางโลกได้ เช่น อาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า และ อื่นๆ อีกหลายอย่าง  การทำงานส่วนทีหนี่งนี้ จิตพลังงานได้รับพลังงานเสริมจากจิตตัวรู้ อยู่เสมอ ถ้าคนยังไม่ตายลงไป

     ส่วนทีสอง ก็คือ จิตพลังงานที่ทำงานมากกว่าส่วนทีเป็นปกติของชีวิต ซึ่ง จะมี ความคิด และ อารมณ์ปรุงแต่ง ในส่วนทีสองนี้ การทำงานเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ อวัยวะการรับรู้เรื่องราวทางโลกภายนอกทำงาน แล้ว คนมีความสนใจในเรื่องราวทีรับเข้ามา จิตพลังงานส่วนนี้ จะสร้างความคิดขึ้น และ สร้างการปรุงแต่งทางอารมณ์ขึ้น

     ถ้าส่วนทีสองนี้ ถ้าได้รับพลังงานเสริมจากจิตตัวรู้ ความคิด อารมณ์ปรุงแต่ง ก็จะเกิดต่อเนื่องต่อไปได้ยาวนาน 

      แต่ถ้าไม่มีจิตตัวรู้ เข้ามาเสริมพลังงาน การทำงานส่วนนี้ จะเกิดขึ้นเมื่ออวัยวะรับเรื่องของโลกภายนอกเข้ามาแล้ว จะดับลงไปเอง เพราะขาดพลังงานเสริมจากจิตตัวรู้
      เมื่อ จิตตัวรู้ ไม่ได้เข้ามาเสริมจิตพลังงานทีเรือน จิตตัวรู้ ก็จะอยู่นอกเรือน ทำให้จิตตัวรู้ ไปรู้ หรือ ไปเห็น อาการทีจิตพลังงานส่วนนี้ เกิดขึ้น แล้ว ดับลงไปเอง ซี่งภาษาธรรมเรียกว่า มีการแยกรูปนาม เกิดขึ้น แล้ว จิตตัวรู้ ก็ไปเห็นไตรลักษณ์ของความคิด เห็นไตรลักษณ์ของอารมณ์ปรุงแต่งได้

      การเกิดขึ้นของอารมณ์ปรุงแต่งนี้เอง คือ ทุกข์ใจ  (หมายเหตุ ในทางธรรม อารมณ์ปรุงแต่งที่เป็นความสุขทีชาวโลกเข้าใจกัน ในทางธรรม ก็จะถือว่า เป็นทุกข์ เช่นกัน )
.
3. สรุปเรื่องราวในข้อ 2 ในกระชับของ #อาการทุกข์ใจ# เกิดได้อย่างไร ดับได้อย่างไร
> 3.1  เมื่อคนสนใจเรื่องราวของโลกภายนอกเมื่อใด จะมีความคิดเกิดขึ้น แล้ว ความคิดทีเกิดขึ้นนี้ จะไปสร้างอารมณ์ปรุงแต่งทีเป็นอาการชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจขึ้น
>3.2  ถ้าจิตตัวรู้ อยู่ร่วมกับจิตพลังงานตอนมีความคิด มีอารมณ์ปรุงแต่ง จะทำให้ความคิด อารมณ์ปรุงแต่ง เกิดต่อเนื่องได้ยาวนาน ซี่งก็คือ ทุกข์เกิดแล้วค้างอยู่ได้ยาวนาน
>3.3  ถ้าจิตตัวรู้ ไม่เข้ามาอยู่ร่วมกับจิตพลังงานตอนมีความคิด มีอารมณ์ปรุงแต่งเกิดขึ้น จะทำให้ ความคิด อารมณ์ปรุงแต่ง ดับลงไปเองอย่างรวดเร็ว และ จิตตัวรู้ ก็จะเห็นหรือรู้การดับตัวลงไปนี้ได้ อันเป็นหน้าทีข้อที่ หนี่ง ของจิตตัวรู้ ทีได้เขียนไว้ข้างบน
        หมายเหตุ การทีจิตตัวรู้ ไม่เข้ามาร่วมกับจิตพลังงานในตอนเกิดความคิด เกิดอารมณ์ปรุงแต่ง นั้น เกิดเพราะ ตัวจิตตัวรู้เอง มีการฝีกฝนจิต จนจิตตัวรู้ มีกำลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทีแข็งแรงพอ ทีจะต้านทานการดึงดูดของจิตพลังงานได้
.
4. ต่อไป จะได้กล่าวถึง ทุกข์กาย
     ทุกข์กายนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบด้วยกัน คือ
     แบบที่ 1   ทุกข์กายทีเกิดจากการเจ็บป่วยตามธรรมชาติของร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น หกล้ม กระดูกหัก     กินอาหารแล้วไม่ย่อย ทำให้ปวดท้อง  เป็นโควิด 19 ทำให้หายใจไม่ได้ และ อื่นๆ อีกมาก   ทุกข์ทีเจ็บป่วยตามธรรมชาตินี้ ให้ไปหาแพทย์ เพื่อรักษา
     แบบที่  2  ทุกข์กายทีเกิดจากการภาวนา
หลายท่านทีอ่านมาถึงตรงนี้ อาจมีคำถามในใจว่า การภาวนาทำให้เกิดทุกข์กายได้หรือ เห็นมีแต่บอกว่า การภาวนาแล้วทำให้ไม่มีทุกข์  ซึ่งบทความนี้ จะได้เขียนอธิบายต่อไป
.
5..ทุกข์กายทีเกิดจากการภาวนาเกิดได้อย่างไร
      ดังทีได้เขียนอธิบายไว้แล้วในข้อ 2 ว่า จิตพลังงานไปสร้างขันธ์ 5 ทีเรือนขึ้น แล้วจิตพลังงานก็จะดึงจิตตัวรู้เข้าไปทีเรือนด้วย ทำให้จิตพลังงานได้รับพลังงานเสริมจากจิตตัวรู้ ทำให้ขันธ์ 5 เกิดอยู่สืบเนื่องได้ยาวนาน  คนจึงสามารถทำงานได้ยาวนาน คิดอะไรได้ยาวนาน มีอารมณ์ปรุงแต่งทีเกิดแล้วตั้งอยู่ได้ยาวนาน
.   
     ในคนทั่วไป  ทีจิตตัวรู้ ถูกจิตพลังงานดูดเข้าไปทีเรือนด้วย การทำงานของจิตพลังงานเพื่อสร้างขันธ์ 5 ทำให้เกิดพลังงานสั่นไหวภายใน ทำให้จิตตัวรู้ถูกพลังงานสั่นไหวนี้ครอบงำ ซี่งตำราเรียกการครอบงำนี้ว่า โมหะ  การทีจิตตัวรู้ถูกโมหะครอบงำ ทำให้จิตตัวรู้ ไม่อาจทำหน้าทีข้อทีหนี่งของตัวจิตตัวรู้ได้ ดัวนั้น ไม่ว่าจิตพลังงานทำงานอะไร จิตตัวรู้ จะไม่สามารถรู้เห็นการทำงานเหล่านี้ได้
เมื่อการสร้างขันธ์จะมาพร้อมกับความทุกข์  แต่จิตตัวรู้ถูกโมหะครอบงำ คนจึงไม่รู้สีกว่า ตัวเองมีทุกข์ นี่คือ มีคำกล่าวในการภาวนาไว้ว่า คนทั่วไป ไม่รู้จักทุกข์อริยสัจจ์ ก็เพราะ จิตตัวรู้มีโมหะครอบงำอยู่นั้นเอง
.
    ต่อเมื่อ นักภาวนาได้มาฝีกฝนจิตด้วยขบวนการสร้าง สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ให้แก่จิตตัวรู้
เมื่อจิตตัวรู้ มีพลังของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ มากพอระดับหนี่ง จิตตัวรู้ จะมีพลังในการต้านแรงดึงดูดของจิตพลังงานได้ ดังนั้น เมื่อ จิตพลังงานสร้างขันธ์ ทีเป็นทุกข์ขึ้น จิตตัวรู้ จึงสามารถรู้ทุกข์ทีเกิดขึ้นได้ เพราะจิตตัวรู้ ไม่ได้ถูกจิตพลังงานดูดเข้าไป นั่นเอง
     การที่นักภาวนาได้ภาวนาจนพบทุกข์กายทีเกิดได้เอง โดยไม่ใช่การเจ็บป่วยตามธรรมชาติ เป็นสิ่งทีบอกได้ว่า นักภาวนาท่านนั้น ได้ภาวนามาได้ดีระดับหนี่งแล้ว จึงทำให้สามารถรับรู้ทุกข์กายทีเกิดขึ้นได้เองได้ 
หมายเหตุ ส่วนของทุกข์ใจนั้น ได้เขียนอธิบายไว้แล้วในข้อ 2  และ 3

6. ต่อไป จะแบ่งปันประสบการทุกข์กายทีเกิดจากการภาวนาว่าเคยพบอะไรมาบ้าง แต่สิ่งทีพบนี้ คงจะไม่ใช่ทั้งหมดของทุกข์กายจากการภาวนา นักภาวนาท่านอื่น อาจมีประสบการอื่นๆ ทีไม่เหมือนกับผู้เขียน
      6.1  เสียงวี๊ด ๆ ในหู  เสียงวี๊ด ๆ นี้จะได้ยินอยู่เสมอทั้งวัน  บางครั้งก็ดังมาก บางครั้งก็เบาลง เมื่อพบใหม่ๆ  ก็คิดว่า หูคงไม่สบาย แต่จริงๆ ไม่ใช่
สาเหตุเกิดจากอะไร ไม่สามารถตอบได้  แต่เมื่อพบแล้ว ก็อย่าไปสนใจ เสียงก็จะเบาลงไปเอง เมื่อรู้อยุู่ทุกวัน ก็เคยชินไปเอง
          อากรเสียงวี๊ดนี้ ผู้เขียนได้พบนักภาวนาหลายท่าน ต่างก็พบเหมือนกันกับเสียงวี๊ด ๆ ในหูนี้ว่าเป็นเช่นกัน
          อาการนี้ แก้ให้หายไม่ได้  จนปัจจุบัน ผ่านมาหลายปี เสียงก็ยังได้ยินอยู่ตลอดเวลา
      6.2  อาการเสียวหัวใจ แว๊บ สั้น ๆ  อาการนี้ จะทำให้คิดว่าเป็นโรคหัวใจหรือไม่ แต่ก็ไม่ใช่อีก อาการเสียวหัวใจนี้ จะเกิดอยู่ไม่นานนัก สั้น ๆ สัก 1 วินาที แล้วหายไปเอง 
นาน ๆ จะเกิดสักครั้งหนี่ง 
      6.3  โรคท้องอืด  โรคกระเพาะอาหาร  อาการนี้จะเป็นทางผ่านของนักภาวนา แต่ถ้าเกิดแล้ว ก็ยากจะหายได้เอง แต่บางคนก็อาจไม่เกิดก็ได้
สาเหตุเกิดจาก เมื่อภาวนามาได้ดีพอ จิตตัวรู้ ไม่ถูกจิตพลังงานดูดเข้าไปทีเรือนแล้ว จิตตัวรู้จะอยู่ภายในกาย ถ้าเมื่อใด ทีจิตตัวรู้ส่งออกกระแสการรู้ไปทีวัตถุทางโลกภายนอก แต่ยังมีสติเหลืออยู่อย่างอ่อน ๆ ทีรู้กายนี้อยู่ ( แต่ไม่รู้ลมหายใจ )  จะเกิดอาการกรดหลั่งในท้องทันที
              การแก้ทุกข์เรื่องนี้ ผู้เขียนใช้วิธีการ ดูจิต ดูความคิด จนสามารถผ่านมาได้ แต่การแก้ไขทุกข์แบบนี้ อาจมีวิธีอื่นอีกก็ได้ ท่านทีพบทุกข์แบบนี้ ขอให้ทดลองดูด้วยตนเอง ถ้าหายได้ ก็ใช้ได้
      6.4  อาการจุกทีลำคอ เหมือนมีก้อนอะไรมาค้างทีลำคอ
เมื่อนักภาวนาฝีกฝนจนได้ผลการภาวนามาได้ดีพอ จิตพลังงานจะโคจรอยู่ภายในกาย
อาการจุกทีลำคอ เกิดเนื่องจาก เมื่อทำงานทางโลก จิตพลังงานต้องสร้างขันธ์ขึ้น จิตจึงจะเคลื่อนตัวทีไปทีเรือนเพื่อสร้างขันธ์มาทำงานทางโลก  แต่จิตพลังงานเกิดไปค้างอยู่ทีลำคอ แล้วในขณะนั้น สัมมาสติ มีกำลังอ่อนลงไป ทำให้จิตพลังงานดูดจิตตัวรู้เข้าไปด้วย ทำให้เกิดจุกลำคอขึ้น อาการจุกลำคอแล้ว ไม่อันตราย เมื่อเกิดแล้ว ก็จะรู้สีกเจ็บ ไม่สบายสักพัก ประมาณ 5 นาทีแล้วค่อยๆ จางหายไปเอง 
              การเกิดอาการจุกทีลำคอนี้ ถ้ามองในแง่บวก จะเห็นว่า มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย เพราะ ถ้าเกิดจุกทีลำคอแล้ว แต่จิตใจตนเองไม่ได้ปรุงแต่งต่อในทางทีไม่ชอบใจ อาการนี้ก็จะเหมือนการเตือนว่า บัดนี้ สติของท่านได้ อ่อนแอลงแล้วนะ  เมื่อนักภาวนาพบอาการแบบนี้บ่อยๆ โดยจิตไม่ปรุงแต่ต่อในทางไม่ชอบใจ จิตใจก็จะมีการพัฒนาตัวเองให้มีสัมมาสติทีมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ  แต่ก็ใช้เวลานานเป็นปี กว่าสติจะมั่นคงมากพอ จนสามารถรู้ทันการเคลื่อนตัวของจิตพลังงานได้ ถ้าจิตตัวรู้มีสติมั่นคงได้ อาการแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย แต่ถึงสติจะมั่นคงขึ้น แต่สติเป็นอนัตตา ไม่อาจมั่นคงได้ตลอด ถ้าเมื่อใด ทีสติอ่อนลง ก็จะเกิดอาการนี้ได้อีกเสมอ
       6.5 อาการหายใจไม่ออก อาการนี้ อันตรายมาก
เมื่อนักภาวนาภาวนามาได้ดีพอ จิตพลังงานจะโคจรอยู่ภายในร่างกายนี้ ถ้าจิตพลังงานไปค้างทีจุดใด จุดนั้นจะเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที 
สาเหตุทีเกิดอาการหายใจไม่ออก เกิดจาก จิตพลังงานไปค้างอยู่ทีลิ้นปี่ โดยไม่รู้สาเหตุ เมื่อจิตพลังงานค้างทีนี่ ทำให้เกิดอาการหายใจไม่ออกทันที  วิธีแก้ไขชั่วคราว ให้ไอแรง ๆ หลายๆ ครั้ง
แนะนำให้ขึ้นรถโดยเร็วไปทีโรงพยาบาลใกล้บ้านทีสุด
ถ้ายังไม่เสียชีวิต ให้รอเวลาให้จิตพลังงานเคลื่อนตัวออกไปจากลิ้นปี่ ก็จะกลับมาหายใจได้ปกติอีกครั้ง อาจใช้เวลาประมาณ 30 นาทีกว่าจะหายปกติ
ผู้เขียนพบอาการนี้ 4 ครั้งในเวลา 1 เดือน ( ไม่แน่ใจนักเพราะผ่านมานานแล้ว ) แล้วก็ไม่เป็นอีก
ข้อดีของการพบอาการนี้ ได้เหมือนการสัมผัส สภาวะใกล้ตายของคนเราว่า คนใกล้ตายจะรู้สีกอย่างไร  ครั้งแรก  ก็ตกใจ แต่พอพบครั้งต่อ ๆ ไป ใจกลับเฉย ๆ ไม่ตกใจเหมือนครั้งแรก

7. ทุกข์กาย ทุกข์ใจ จะไม่เกิดอีกเมื่อใด 
     เรื่องนี้ในความเห็นของผู้เขียน ขึ้นอยู่กับกำลังของ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ถ้าสัมมาสติ สัมมาสมาธิ มั่นคงตั้งมั่นอยู่ ทุกข์ก็จะเกิดไม่ได้
แต่สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นอนัตตา ไม่อาจมั่นคงได้ตลอดเวลา
ถ้าเมื่อใดที สัมมาสติ สัมมาสมาธิ  ลดต่ำลงไป ทุกข์ก็จะมาเยือนอีกเสมอ

   การหมั่นฝีกฝนอยู่เสมอในสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จะเป็นตัวช่วยให้มีความมั่นคงได้ดี
แต่อย่างทีเขียนไว้ว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นอนัตตา
ข้อสำคัญก็คือ ทุกข์มาเมื่อใด ให้รู้แล้ววางใจเป็นอุเบกขา อย่าได้มีใจสั่นไหวปรุงแต่ง
ถ้าทุกข์ไม่หายไปแล้วตายลงเพราะทุกข์นั้น อย่างน้อย ก็ไปสู่สุขคติภูมิ
การภาวนาก็เพื่อสิ่งนี้มิใช่หรือ
.
ธรรมะสวัสดี  ขอธรรมแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นเครื่องคุ้มครองแก่ทุกท่านทีเข้ามาอ่าน
ถ้าอ่านไม่รู้เรื่อง ก็ขออภัยเป็นอย่างสูง ผู้เขียนเข้าใจดีว่า อ่านยาก เข้าใจยาก


Create Date : 11 มีนาคม 2564
Last Update : 12 มีนาคม 2564 6:33:31 น. 0 comments
Counter : 653 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.