รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2565
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
11 ตุลาคม 2565
 
All Blogs
 
สภาวะธรรมของการ " ไม่เห็นความคิด / เห็นความคิด"

1...บทความเรื่อง สภาวะธรรมของการ " ไม่เห็นความคิด /  เห็นความคิด " ได้เขียนขึ้น เพื่อแสดงสภาวะธรรมออกมาเป็นรูปภาพ และ มีคำอธิบาย เพื่อให้ นักภาวนาที่ภาวนาไป แล้วพบสภาวะธรรมได้ จะได้เข้าใจว่า สิ่งที่ตนพบนั้น คือ สภาวะธรรมของอะไร
การรู้จักสภาวะธรรม และเข้าใจในสภาวะธรรมนั้น จะเป็นประโยชน์แก่นักภาวนา เป็นอย่างมาก
และจะประหยัดเวลาไปได้มากในการภาวนา

เมื่อผู้เขียนได้เข้ามาในการภาวนา ก็พบว่า การไม่รู้จักสภาวะธรรม นี่คือ ปัญหาใหญ่ของนักภาวนาทั้งที่เป็น มือใหม่ และ มือเก่า ทั้งหลาย
นักภาวนาจะไม่เข้าใจว่า  สิ่งที่ตนพบ นั้นคือะไรแน่ และ มีประโยชย์อย่างไร ต่อการพ้นทุกข์ได้ต่อไป

เมื่อผู้เขียนได้ภาวนาและพบสภาวะธรรมบางอย่างได้แล้ว จึงนำมาแสดง เพื่อแบ่งปัน
ผู้เขียนหวังว่า บทความนี้ จะเป็นประโยชน์แก่นักภาวนาที่เข้ามาอ่าน

2..ก่อนที่ท่านจะอ่านต่อไป ขอให้อ่านเรื่องนี้ก่อน คือ เรื่อง 
เจ้าชายสิทธัตถะทรงรู้อะไรในคืนวันตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า 
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=16-12-2019&group=17&gblog=182

3.. มารู้จัก ความคิด กันก่อนว่า ความคิด คืออะไร  ความคิด มันไม่ใช่สิ่งที่ท่านเข้าใจหรอกนะ
เพราะ ความคิด เป็นภาษาไทย ที่คนไทยรู้จักและเข้าใจ  แต่ว่า สิ่งที่ท่านเข้าใจในตอนนี้ว่า ความคิด คืออย่างนี้นะ  แท้จริง มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย แล้ว ความคิด คืออะไร ขอให้อ่านต่อไป
.
จากบทความในข้อ 2  ภายในบทความมีภาพประกอบ ที่ได้แสดงให้เห็นถึงที่ตั้งของ " เรือน "
คำว่า " เรือน " เป็นคำที่อยู่ในพระไตรปิฏก ที่มีการเขียนไว้ว่า พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติคำนี้ขึ้นมาด้วยพระองค์เอง แล้วอุทานออกมาในคืนวันตรัสรู้
.
เมือใด ที่คนมีความสนใจในโลกภายนอก ( โลกภายนอก คือ โลกของคนเรา มีสัตว์ มีคน มีสิ่งของ
มีเรืองราว มีกิจกรรมต่าง ๆ ของคน และ อื่นๆ อีกมาก )
เมื่อ คนสนใจในโลกภายนอก  เรือน ก็จะเกิดขึ้นทันที  แล้ว ตัวจิตส่วนที่เป็นพลังงาน ( ต่อไปขอเรียกชื่อว่า จิตพลังงาน ) ก็ไปสร้างพลังงานที่เป็น "รูป" ขึ้นที่ เรือน  ซี่งพลังงานที่ถูกสร้างขึ้นที่เรือน นี้ ก็คือ สิ่งที่ คนเรากำลังสนใจอยู่  เช่น คนกำลังสนใจพิจารณาโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้อยู่ ก็จะมีพลังงานเกิดขึ้นที่เรือน ซี่งเมื่อแปลภาษาธรรมออกมา  ก็จะเป็นว่า พลังงานที่กำลังเกิดอยู่ในขณะนี้ที่กำลังเกิดขึ้นที่เรือน ก็คือ โทรศัพท์มือถือ นั่นเอง
.
เมื่อคนสนใจสิ่งใด ก็จะมีพลังงานเกิดขึ้นที่ เรือน ทุกครั้งไป ซี่งในภาษาธรรม เรียก พลังงานเหล่านี้ว่า  " รูป "  แต่ถ้าพูดกันเป็นภาษาชาวบ้าน  พลังงานเหล่านี้ จะถูกเรียกชื่อว่า  " ความติด "
ตรงนี้ หมายความว่า ทุกครั้งที่คนเราสนใจโลกภายนอก เช่น สนใจด้วยการมองเห็นด้วยตา สนใจในเสียงที่ได้ยิน หรือ นึกคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ   เรือน ก็เกิดขึ้น แล้ว รูป หรือ ความคิด ก็ไปเกิดขึ้นที่ เรือน นี้  
.
ท่านจะเห็นว่า ความคิด ที่ท่านเคยเข้าใจมาก่อน จะไม่เหมือนกับสิ่งที่เขียนในนี้  
คนเราเมื่อเกิดมาแล้ว เรียนรู้เรื่องราวทางโลกมามากมาย  พอสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านไปเห็น ไปได้ยิน
ก็คือ ความคิด เกิดขึ้นทันที  เช่น มีเสียงสุนัขเห่า ท่านรู้ทันทีว่า นี่คือ เสียงสุนัขเห่า นั่นแหละ 
ความคิด ได้เกิดขึ้นที่ เรือน แล้ว 
.
ท่านจะเห็นว่า ความคิด เกิดที่ เรือนง่ายมาก 
เมื่อคนกลุ้มใจ ก็ไปหาครูบาอาจารย์ เล่าเรื่องให้ท่านฟัง  ท่านก็บอกว่า ก็อย่าไปคิดซิ  จะได้ไม่กลุ้มใจ   ท่านจะเห็นว่า สิ่งที่ครูบาอาจานย์บอกว่า อย่าไปคิด มันเป็นไปไม่ได้เลย  เพราะ เพียงครูบาอาจารย์พูดว่า อย่าไปคิด ท่านได้ยิน และเข้าใจว่า ครูบาอาจารย์ท่านพูดว่าอะไร  นั่นแหละ ท่านได้คิดไปแล้ว แต่ท่านไม่รู้ว่า ท่านคิดไปแล้ว 
นี่คือ อาการของคนที่ ไม่เห็นความคิด ทั้ง ๆ ที่ตัวเองคิดอยู่ จะเป็นแบบนี้
.
4.. ทำไมคนเราจึงไม่เห็นความคิดของตนเองได้ ทั้ง ๆ ที่ความคิด มันเกิดขึ้นที่ตัวเองแท้ ๆ แต่กลับไม่เห็น ไม่รู้จัก  

ขอให้ดูภาพข้างบนในข้อ 4 นี้ ภาพนี้ แสดงถึงสภาวะของคนที่ไม่รู้ว่า ตัวเองกำลังคิดอยู่
ในภาพ จะแสดงก้อนพลังงานสีเทา ที่เป็นความคิด ที่เกิดขึ้นที่เรือน
และภายใน เรือน ก็จะมี รูปดาวสีเหลืองอยู่ภายใน 
รูปดาวนี้ คือ ตัวจิตผู้รู้  ที่ถูก พลังงานความคิด ดูดเข้าไปเกาะติดอยู่ภายในเรือน
การทางธรรม เรียก อาการที่จิตผู้รู้ ถูกดูดเข้าไปแบบนี้ว่า  ตัณหา 
ซี่ง พอพูดถึง ตัณหา คนไทยก็มักเข้าใจว่า คือ ความอยากมี Sex  ความอยากมี ความอยากเป็นนั่่นเป็นนี่   ก็ขอให้เข้าใจไว้ ณ ที่นี้ว่า ตัณหา คือ อาการที่ จิตผู้รู้ ไร้พลังของ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ แล้วถูก จิตพลังงาน ดูดเข้าไปเกาะติดได้

สำหรับการที่ จิตผู้รู้ ถูกดูดเข้าไปในความคิดที่เรือนนี้ได้  ครูบาอาจารย์บางท่านก็จะเรียกว่า
"การเข้าไปในความคิด" หรือ จะพูดว่า ถูกขันธ์ดูดไปเกาะติดก็ได้ เพราะความคิด ก็คือ ขันธ์ ที่มีชื่อเรียกว่า สังขารขันธ์

การตีความเอง จากที่ได้ยินมา ถ้าตีความไม่ตรง หรือ เฉ ไปเพียงเล็กน้อยไม่เข้าทางของธรรม
แล้ว ก็จะทำให้เกิดอาการไขว่เขว แล้ว การภาวนา ก็มักจะติดขัด ไม่ก้าวหน้าได้

ตัณหา เป็น ข้อที่ 2 ในอริยสัจจ์ 4 
ถ้าคนมี ตัณหา ก็แปลเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า  จิตคนนั้น ไร้พลังของสัมมาสติ  สัมมาสมาธิ แล้วถูกจิตพลังงาน หรือ จะพูดว่า ถูกรูป หรือ จะพูดว่า ถูกขันธ์ ดูดเข้าไปเกาะติดก็ได้
.
ในทำนองเดียวกัน  ถ้าจิตไม่มีตัณหา ก็แปลได้ว่า  จิตคนนั้น มีพลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ  มีกำลังที่ต้านทานการดูดของจิตพลังงานได้ หรือ ต้านทายการดูดของรูปได้ หรือ ต้านทานการดูดของความคิดได้ 

การทำความความเข้าใจให้ตรงใน ตัณหา ก็ทำให้เดินถูกทางแห่งมรรค เพราะตรงกับมรรคข้อที่ 7 สัมมาสติ และ ข้อที่ 8 สัมมาสมาธิ
เมื่อใด ที่นักภาวนาฝีกฝน สติปัฏฐาน จนได้แบบนี้ว่า  สิ้นตัณหา ก็แปลว่า
จิตนักภาวนานั้น มีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ เต็มเปี่ยมด้วยพลังที่ไม่อาจมีอะไร ดูดจิตของนักภาวนาเข้าไปเกาะติดได้เลย

.
5..สภาวะธรรมของการ " เห็นความคิดได้  " เป็นเช่นไร
สภาวะธรรมของการ เห็นความคิดได้ นั้น จะมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน
แบบ A ... แบบนี้ เห็นความคิดได้ แต่ไม่รู้เรืองที่คิดได้ยาวนาน พอเห็นความคิดปุ๊บ ความคิดก็ดับลงไปเองเป็นไตรลักษณ์ทันที
แบบ B...  แบบนี้ เห็นความคิดได้ และ สามารถรู้เรื่องที่กำลังคิดอยู่ได้ยาวนาน เห็นความคิดพร้อมกับคิดไปพร้อมกับการเห็นได้แบบยาวนานได้ด้วย
.
ทั้ง 2 แบบ ต่างกันอย่างไร  ขอให้อ่านต่อไป
.
6...แบบ A  เห็นความคิดได้ แต่ไม่รู้เรืองที่คิดได้ยาวนาน  
พอเห็นความคิดปุ๊บ ความคิด ก็ดับสลายตัวลงเป็นไตรลักษณ์ทันที
อาการแบบA  นี้ นักภาวนาจะพบได้ก่อนแบบ B 

                แบบ A นี้ เกิดใน นักภาวนามือใหม่ ที่เข้ามาฝีกฝนสติปัฏฐานแล้วพอสมควร
ซี่งจะฝีกอย่างไรก็ได้ ที่มีสอนกันตามสำนัก ล้วนใช้ได้ทั้งสิ้น ฝีกให้มาก
แล้ว ต่อไป สามารถเกิดแบบ A นี้ ได้  ขอให้ดูภาพสภาวะธรรมด้านล่างนี้เพื่อความเข้าใจ


ขอให้ดูจากภาพในข้อ 6 แล้ว เทียบกับภาพในข้อ 4  จะเห็นว่า ภาพในข้อ 6
จิตผู้รู้ รูปดาวสีเหลือง จะไม่อยู่ในความคิดในเรือนแล้ว  แต่จะออกมาจากเรือน
แต่ยังคงอยู่แนบชิดกับเรือนอยู่
.
การฝึกสติปัฏฐาน ในมือใหม่ มักฝีกโดยการรู้ผัสสะที่กายก่อน 
ถ้าฝีกอาณาปานสติ ก็เข้าข่ายนี้ได้เช่นกัน 
หมายเหตุุ ผู้เขียนจะไม่ขอพูดถึง มือใหม่ที่ฝีกดูจิต ทีมีสอนกันในบางสำนัก
.
เมื่อฝีกรู้ผัสสะที่กายมากพอ  จิตผู้รู้ จะเริ่มคุ้นเคยกับการรู้ผัสสะที่กาย การรู้ผัสสะที่กายได้นี้ จิตผู้รู้
จะเคลือนออกมาจากเรือนได้ และมาอยู่ที่แนวของอายตนะ หรือ แนวของการรู้ผัสสะที่กาย
ซึ่งแนวอายตนะนี้ จิตผู้รู้จะยัวอยู่แนบชิดกับเรือน แต่จะไม่เข้าในในเรือน
.
เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น จิตผู้รู้ ที่ผ่านการฝีกฝนการรู้ผัสสะที่กายนี้มาพอควร จิตผู้รู้ จะต้านทาน
แรงดูดของความคิดได้  พอต้านทานแรงดูดความคิดได้ จิตผู้รู้ ยังคงอยู่ที่แนวอายตนะนี้ ไม่วิ่งเข้าไปที่เรือน (ดังข้อที่ 4 ทีจิตผู้รู้ ถูกดูดเข้าไปในเรือนได้) 
.
เมื่อจิตผู้รู้ ไม่วิ่งเข้าไปที่เรือนเมื่อมีความคิดเกิดขึ้น จิตผู้รู้ ก็จะเห็นความคิดทีเกิดขึ้นได้
แต่ด้วยธรรมชาติของความคิด ถ้าจิตผู้รู้ เห็นความคิดแบบนี้ได้ ความคิด ก็จะดับสลายลงไปเป็นไตรลักษณ์ทันที 
แต่ ถ้านักภาวนา มีกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ยังไม่มั่นคงมากพอ
คนที่สามารถเห็นความคิดได้แล้ว แต่ยังใหม่ไม่มีประสบกาณณ์มากนัก
ยังมีโอกาสที่จิตผู้รู้ ถูกดูดเข้าไปในความคิดได้อยู่เสมอ
การฝีกฝนสติปัฏบฐานอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสิ่งสำคัญของนักภาวนา ที่คาดหวังมรรคผล

เมื่อนักภาวนาสามารถเห็นความคิดเป็นไตรลักษณ์ได้แล้ว  นักภาวนายังไม่สามารถเห็นจิตผู้รู้ได้ ขอให้ฝีกฝนสติปัฏฐานต่อไปเรือ่ย ๆ   แล้วฝีกฝนการเห็นความคิดแบบ A นี้ไปเรื่อยๆ   เห็นให้ได้บ่อย ๆ  ในความเป็นไตรลักษณ์ของความคิด แล้ววันหนี่ง นักภาวนาก็จะสามารถเห็นจิตผู้รู้ได้ต่อไป  แต่ถ้ายังเห็นไม่ได้เอง อย่าไปจ้องหาจิตผู้รู้  การไปจ้องหาจิตผู้รู้ เป็นการภาวนาที่ไม่ตรงทางแห่งมรรค
.
7..แบบ B...  แบบนี้ เห็นความคิดได้ และ สามารถรู้เรื่องที่กำลังคิดอยู่ได้ยาวนาน เห็นความคิดพร้อมกับคิดไปพร้อมกับการเห็นแบบยาวนานได้ด้วย
.
เมื่อ นักภาวนา สามารถเห็นแบบ A ได้แล้ว และ พบจิตผู้รู้ได้แล้ว  ต่อไป
นักภาวนาฝีกทำ ญาณ ให้เกิดขึ้นได้ก่อน 
การทำ ญาณ ให้เกิดขึ้นได้นี้ เป็นศาสตร์ที่ไม่สามารถสอนกันได้ว่าทำอย่างไร นักภาวนาต้องภาวนาไปเรื่อยๆ  และ ทำ ธัมมะวิจัย ไปเรื่อยๆ   จนวันหนี่ง ญาณ ก็จะปรากฏขึ้นมาได้เอง 
.
การที่นักภาวนา พบจิตผู้รู้ได้แล้ว ขอให้สังเกต สภาวะธรรมของจิตผู้รู้ จะปรากฏตัวเห็นได้ชัด
แต่ถ้ายังมีตัวจิตผู้รู้ ที่ปรากฏได้ชัดปรากฏอยู่ ตอนนั้น ยังไม่ใช่ ญาณ 
แต่ถ้าเป็น ญาณ เกิดขึ้น ตัวจิตผู้รู้ จะจางลงไปมาก และมีสภาวะอาการรู้ ปรากฏขึ้นมาอีกอย่างหนี่ง
ญาณ นี้ จะเป็นการเห็นสภาวะธรรมปรมัตถของตัวจิตพลังงาน หรือ ปรมัตถของความคิดได้ โดยที่
ความคิดที่เห็นนั้น ไม่ดับลงไป เหมือน แบบ A ทีมี จิตผู้รู้ ปรากฏชัดอยู่
ขอให้ดูจากภาพข้างล่างนี้ประกอบ
จากรูป ขอให้สังเกต รุปดาวสีเหลือง จะเขียนเป็นเส้นปะ  นั่นคือ จิตผู้รู้ ได้เปลี่ยนไปเป็น
ญาณ ได้แล้ว  เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น เป็นการทำงานของจิตพลังงานที่ไปสร้างความคิดที่เรือน
//  ญาณ ที่เกิดแล้ว ก็จะเห็นความคิดที่เรือนเกิดอยู่ได้ยาวนาน โดยที่ความคิดไม่ดับลงไปเลย
.
สภาวะธรรมแบบนี้ นักภาวนา จะพบ สภาวะธรรม 2 อย่างเกิดขึ้นคือ
aa..  จิตพลังงานยังคงสร้างความคิดอยู่เช่นเดิมและทำงานทางโลกต่อไปได้เรือย ๆ  ทำให้สามารถรู้เรื่องราวของความคิดได้ ว่า กำลังคิดอะไรอยู่  เช่น วางแผนงานที่เป็นงานทางโลกที่ใช้หาเลี้ยงชีพ หรือ  ความคิด  อื่น ๆ อีกมาก
bb..  ญาณ เห็นพลังงานความคิดว่า มีพลังงานความคิดกำลังทำงานอยู่ต่อไปได้เรื่อย ๆ 
.
การเห็นได้ของ ญาณ แบบนี้ เป็น ปัญญา ระดับโลกุตระ ที่ไปเห็นว่า
พลังงานความคิด นี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา มันเป็นธรรมชาติอย่างหนี่งที่ปรากฏขึ้น
เมื่อ จิตพลังงานทำงานอยู่
.
การที่ ญาณ เกิดขึ้น และเห็นความคิดที่เป็นรูปปรมัตถธรรมได้  สภาวะธรรมขณะนั้น
เป็นสภาวะธรรมที่ไร้ตัณหา  ไม่มีกิเลส  เกิดอยู่ และ ที่สำคัญ ไม่่มีทุกข์เพราะความคิดเกิดขึ้นเลย
.
การสิ้นสุดของการภาวนานั้น อยู่ที่ การเกิดขึ้นของ ญาณ 
เมื่อ ญาณ เกิดขึ้น ทุกอย่างก็จะลงตัวตามเส้นทางแห่งมรรคได้เอง
แล้ว ญาณ จะปรากฏขึ้นกับตัวเราหรือไม่นะ เรื่องนี้ ไม่มีใครตอบได้
ขอให้ภาวนาต่อไป แล้วรอเวลาเท่านั้นเอง 
.
8..  2 เรื่องก่อนหน้า แนะนำอ่าน
เส้นทางแห่งมรรค เดินตามเส้นนี้อย่างไร แล้ว จะพบอะไร
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=03-10-2022&group=17&gblog=257
.
ลักษณะอาการของ สมาธิ ในองค์มรรค
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=10-2022&date=06&group=17&gblog=258



 


Create Date : 11 ตุลาคม 2565
Last Update : 11 ตุลาคม 2565 15:16:48 น. 0 comments
Counter : 453 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.