1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30 31
จะทำอย่างไร ให้เกิดความรู้สีกตัวได้เสมอ ๆ
นักภาวนาเป็นจำนวนมาก มักกังวลกับการปฏฺบัติ เพราะเมื่อปฏิบัติไปถีงแม้ว่าจะนานหลาย ๆ ปี แต่ก็ยังเกิดอาการเผลอตัวอยู่เสมอ ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า การปฏิบัตินั้นจะไม่ก้าวหน้า หรือ ปฏิบัติผิดทางไป เรื่องการเผลอ ผมมีเขียนไว้บ้างใน blog ของผม ท่านทีสนใจอ่าน ก็ลองค้นดูครับ แต่วันนี้ ผมจะเขียนใหม่ อาจซ้ำกับเรื่องเดิมทีเขียนไปแล้วบ้างก็ได้ การอ่านหลายๆ ครั้ง ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจขึ้น เรื่องการเผลอ จะมี 2 แบบครับ แบบที 1 การเผลอทีเกิดจากการสูญเสียความรู้สีกตัว ซี่งจะเป็นการเผลอของนักภาวนามือใหม่ แบบที 2 การเผลอทียังมีความรู้สีกตัวได้อยู่ แต่ไม่ได้ไปรู้สภาวะธรรมของกายใจ แบบนี้จะเป็นการเผลอของนักภาวนามือเก่าทีค่อนข้างชำนาญการภาวนาทีผ่านด่านการเผลอแบบที 1 มาแล้ว มาดูรายละเอียดกันต่อไปครับ 1..คนทีเข้ามาภาวนาใหม่ๆ จะเผลอแบบที 1 บ่อยมากกว่าการรู้สีกตัว เพราะธรรมชาติของโมหะทีเข้าครอบงำจิตอยู่เสมอ ตรงนี้เป็นกันทุกคนครับ 2..เพื่อจะทำให้รู้สีกตัวแบบที 1 ได้บ่อยๆ ตรงนี้ ต้องมาจาก การทีหลุดการเผลอได้เองบ่อยๆ ครับ ไม่มีทางอื่น ต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น เหมือนกับคนทีจะไม่ถูกหลอกจากคนอื่นบ่อยๆ ต้องเป็นคนทีถูกหลอกมามากแล้ว แล้วรู้ว่า ตัวเองถูกหลอก ประสบการณ์ทีถูกหลอก จะทำให้คน ๆ นี้ต่อไป จะถูกหลอกยากขึ้นไปเรื่อย ๆ 3...ในการภาวนานั้น นักภาวนาสมควรฝีกฝนก่อนตามรูปแบบ จะเดินจงกรม จะทำอย่างไรก็ได้ แต่ขอให้ฝีกให้ถูกต้องตามสติปัฏฐาน 4 ก็แล้วกัน การฝีกนั้นขอให้ฝีกทุกวัน จะมากจะน้อยก็ขอให้ฝีกไปเถอะ ถ้ามีเวลา 1 นาที ก็ฝีกไป 1 นาที แต่ขอให้ฝีกทุกวัน อย่าได้เว้น แต่ถ้ามีเวลามาก ก็ให้ฝีกให้มาก ๆ เข้าไว้ก่อน พอนักภาวนาฝีกบ่อยๆ ทำทุกวัน ทีนี้ พออยู่ในชีวิตประจำวัน นักภาวนาจะเผลอนานในแต่ละครั้ง ตรงนี้ไม่เป็นไร เผลอได้ครับ แต่ถ้าเมื่อไร ทีคุณหลุดเผลอได้ 1 ครั้ง คือ เผลอแล้วกลับมารู้สีกตัวได้เอง 1 ครั้ง นีคือ คุณมีประสบการณ์หลุดเผลอ 1 ครั้ง เมื่อต้องฝีกไปทุกวัน แล้วปล่อยให้เผลอ แล้วให้หลุดเผลอกลับมารู้สีกตัว ต้องเป็นแบบนี้ ไม่มีทางอื่นครับ เกิดการเผลอได้ แล้วเกิดการหลุดเผลอได้เอง เกิดบ่อยๆ แล้วต่อไป นักภาวนาจะเผลอในเวลาสั้นลงไปเรื่อยๆ จากทีเคยเผลอนาน ๆ ก็เผลอหดสั้นลงทีละนิด ทีละนิด กล่าวคือ เมื่อเผลอแล้วก็กลับมารู่สีกตัวได้เร็วขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีการเผลออยู่นั่นเอง แล้วสักวันหนี่ง จะพบว่า การเผลอนั้นจะเกิดสั้นมาก ๆ คือ คล้ายกับว่า เผลอปุ๊บ ก็กลับมารู้สีกตัวได้เองอีกครั้งหนี่งอย่างรวดเร็ว ซี่งตรงนี้ คือ ประสบกาณ์การหลุดเผลอทีส่งผลออกมาให้เกิดความชำนาญในการหลุดการเผลอได้เอง เหมือนกับ ประสบการณ์ทีถูกหลอกมาโชกโชนจนถูกหลอกได้ยากขึ้น 4...ผมเน้นอีกทีนะครับ ถ้าอยากก้าวหน้าต้องฝีกทุกวันก่อน มากบ้างน้อยบ้างไม่เป็นไร แต่ขอให้ฝีกทุกวัน จากนั้น ก็ให้เผลอในชีวิตประจำวัน แล้วให้หลุดเผลอเกิดมาเอง เป็นแบบนี้ วนเวียนแบบนี้ไปเรือ่ยๆ ก็จะรู้สีกตัวได้ดีขึ้นเรื่อยๆ การฝีกฝนต้องใช้เวลานะครับ ไม่ใช่ ทำปุ๊บได้ปั๊บ อาจใช้เวลาถีง 3 ปี 5 ปี 7 ปี ก็ได้ อยู่ทีว่า มีฝีกบ่อยมากไหม แล้วเกิดการเผลอแล้วหลุดเผลอบ่อยมากไหม 5..ในกลไกการทำงานของจิตนั้น การเผลอ คือ โมหะเข้าครอบงำจิต และการหลุดเผลอได้คือ โมหะถูกแสงจิตทำลายลงไป ทำให้จิตสว่างขึ้นจึงหลุดการเผลอได้ นักภาวนาส่วนมากมักรังเกียจการเผลอ แต่การเผลอแล้วหลุดเผลอนี่แหละ จะทำให้นักภาวนาเกิดปัญญาตามมา เพราะเมื่อเวลาเกิดเผลอ โมหะครอบงำจิตแล้วกิเลสตัวอื่นก็จะครอบงำจิตตามมาอีก พอเกิดการหลุดเผลอได้ว่องไวพอ นักภาวนาจะเห็นกิเลสเกิดแล้วดับลงไปเป็นไตรลักษณ์ นี่เป็นปัญญาทีนักภาวนาต้องการพบ ถ้าไม่เกิดการเผลอขึ้น ก็จะไม่มีการเห็นกิเลสเกิดดับเป็นไตรลักษณ์ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ เกิดเผลอแล้วหลุดการเผลอได้ จะเป็นตัวให้เกิดปัญญาครับ 6..สำหรับการเผลอแบบที 2 นั้น จะเกิดจากการพัฒนาตนเองของนักภาวนาทีผ่านการเผลอแบบที 1 มาแล้วเป็นอย่างดี จนเกิดอาการทีว่า เหมือนไม่เผลออีกเลย แต่จิตไม่ได้รับรู้สภาวะธรรมของกายใจ นี่คือการเผลอแบบที 2 การเผลอแบบที 2 นั้น จะต้องมาจากการฝีกสัมมาสติโดยใช้หลักการของวัวแม่ลูกอ่อนเล็มหญ็าแล้วชำเลืองดูลูกน้อย อ่านเรื่องได้ที //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=04-2014&date=24&group=6&gblog=25 7..แนะนำอ่านเพิ่มเติม เรื่อง ขอบคุณ กิเลส ที่โผล่มาให้เห็น -มุมปัญญา //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=10-2009&date=14&group=5&gblog=2
Create Date : 17 ตุลาคม 2557
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2557 14:46:48 น.
0 comments
Counter : 2328 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****