เรื่องก่อนหน้าที่ได้เขียนไว้แล้ว แนะนำให้อ่านก่อนถ้าท่านยังไม่เคยอ่านมา
เรื่องที่ 1 เคร็ดวิชาการภาวนาแบบหลวงพ่อเทียน
เรื่องที่ 2 ให้รู้สึกของหลวงพ่อเทียน คือ ??
ในการภาวนาแบบวิปัสสนายานิก ส่วนที่สำคัญมากคือเรื่อง**ความรู้สึกตัว** ใคร ๆ ก็บอกว่าให้รู้สึกตัว แต่สำหรับนักภาวนาแล้ว ถ้ายังไปไม่ถึงระดับญาณเห็นจิตได้ การเข้าใจว่าตนเองกำลังรู้สึกตัวที่ถูกต้องแล้วก็อาจจะพลาดท่าได้อย่างง่าย ๆ เพราะว่า การที่พูดว่า *ให้รู้สึกตัว* แต่การรู้สึกตัวจะมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน ซึ่งสมควรทำความเข้าใจให้ดีก่อนทำการฝึกฝน
ที่ว่าการรู้สึกตัวมีอยู่ 2 ชนิดนั้น มีดังนี้
ชนิดที่ 1.. รู้สึกตัว แต่มีการจงใจใช้จิตทำงาน
ชนิดที่ 2.. รู้สึกตัว แต่ไม่มีการจงใจใช้จิตทำงาน ปล่อยจิตทำงานเองตามธรรมชาติ
2 ชนิดนี้ต่างกันอย่างไร มาดูกัน
ชนิดที่ 1.. รู้สึกตัว แต่มีการจงใจใช้จิตทำงาน เป็นจิตที่ประกอบไปด้วย * ความคิด * และ * ความอยาก * ในตำราจะเรียกว่า จิตที่ประกอบไปด้วย ทิฐิและตัณหา
1.1.. จิตที่ประกอบไปด้วย *ความคิด* แบบนี้ นักภาวนารู้สึกตัวก็จริง แต่ยังมีความคิดเข้าผสม ความรูุ้สึกตัวแบบนี้จะมีอยู่แล้วกับคนทั่วๆ ไป บางท่านเรียกว่า *ความรู้สึกตัวระดับสามัญสำนึก* เป็นความรู้สึกตัวระดับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น ในการอ่านหนังสือ พูด ฟัง ขับรถ ทำงานบ้าน หรือ อื่น ๆ ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเข้าใจมากขึ้น
...การที่ท่านอ่านหนังสือแล้วรูุ้เรื่อง ท่านฟังคนอื่นพูดแล้วเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังมา
...ท่านรูุ้ว่า คนนี้ชื่ออะไร สัตว์อย่างนี้เรียกว่าอะไร
...ท่านรู้ว่าทำอย่างนี้ดี ทำอย่างนี้ไม่ดี
...เวลาท่านขับรถ ท่านรูุ้ว่า อย่างนี้คือไฟแดง รถห้ามไป อย่างนี้คือไฟเขียว รถวิ่่งผ่านไปได้
และอื่นๆ อีกเป็นล้าน ๆ ที่เกิดในชีวิตประจำวันของท่านเอง
คนทั่ว ๆ ไป พอได้ยินว่า ให้รู้สึกตัว ก็จะเข้าใจว่าเป็นแบบนี้ทันที เพราะคนทั่่ว ๆ ไปเคยชินกับความรูุ้สึกตัวอย่างนี้อยู่แล้ว
1.2 จิตที่ประกอบไปด้วยความอยาก
จิตประเภทนี้ นักภาวนามือใหม่ในด้านวิปัสสนายานิกตกม้าตายไปมากแล้ว เพราะว่าไม่เข้าใจ เป็นความอยากรู้สภาวะธรรมก็เลยไปจดจ้องสภาวะธรรม เช่น เวลาเคลื่อนมือ ก็ส่งจิตไปจดจ้องมือที่กำลังเคลื่อน หรือ เวลาเดินจงกรม ก็ส่งจิตไปจดจ้องที่เท้าเวลาเดิน หรือ เวลาทำอาณาปนสติ ก็ส่งจิตไปจับลมที่ปลายจมูก
** ความอยากอีกประการที่คนใหม่ไม่รู้เลย ก็คือ ความอยากที่จะรู้สึกตัว โดยการไปยึดความรู้สึกตัวเอาไว้ **
เมื่ออยู่ในอาการแบบนี้ นักภาวนาจะไม่ค่อยคิด หรือ บางทีจะบอกว่า ความคิดถูุก กดอยูุ่ก็น่าจะได้ นักภาวนาจะพบแต่ความสงบของจิตใจเพราะจิตมันไม่คิด คนที่ขาดความเข้าใจ พอรู้สึกตัวแบบนี้เป็นแล้ว ก็มักจะหลงว่า ดีจริง ๆ แบบนี้ ไม่มีกิเลสโผล่มากวนใจเลย จิตใจช่างสงบเงียบดีแท้ ๆ
*******
ชนิดที่ 2 รู้สึกตัว แต่ไม่มีการจงใจใช้จิตทำงาน ปล่อยจิตทำงานเองตามธรรมชาติ
ลักษณะของความรู้สึกตัวแบบนี้ จะเป็นความรู้สึกตัวธรรมชาติ ที่ไม่มีการคิดเจือปน เฉย ๆ ไม่มีความอยากรู้สภาวะธรรมในขณะฝึกฝน จิตเป็นกลางๆ และ ผู้ภาวนาจะต้องอยู่ในอาการที่ผ่อนคลาย ไม่เกร็ง ไม่เครียด
จิตประเภทนี้ เป็นจิตที่มีความว่องไวสูง (Dynamic ) ต่อการเปลี่ยนแปลงการการทำงาน และ พร้อมที่จะทำงานในทุก ๆ สภาพ และ อยู่ในสภาพที่จะรู้เห็นสภาวะธรรมได้ตามความเป็นจริง
ในคนใหม่ๆ ที่เข้ามาฝึกฝน จิตที่อยู่ในสภาพแบบนี้ซึ่งจะว่องไว ทำให้เกิดความคิดผุดขึ้นมาได้ง่ายๆ และเกิดบ่อย ๆ นักภาวนามือใหม่ที่ขาดความรู้ความเข้าใจ ก็จะคิดว่า แย่แล้ว ฟุ่งซ่านแล้ว ก็เลยไปทำข้อ 1.2 ขึ้นมาทันที ด้วยการส่งจิตไปยึดอะไรไว้ เพื่อกดความคิดไม่ให้เกิด แล้วก็หลงไปว่า ดีจริงไม่คิดแล้ว แต่ว่า...มันไม่ใช่อย่างที่มือใหม่เข้าใจเลยครับว่าดี...
****
มาดูผลกันดีกว่า ว่าแต่ละแบบ ผลมันจะเป็นอย่างไร
จิตที่ประกอบด้วยความคิดนั้น จิตจะเคลื่อนออกจากฐานของจิตไปสู่ มโน (การเคลื่อนออกจากฐานของจิตนี่คือ จิตไม่ตั้งมั่น หรือ บางท่านก็เรียกว่า ส่งจิตออกนอกฐาน ) เมื่อจิตเข้าไปใน มโน จิตก็ไม่สามารถที่จะเห็นสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นใน มโน ได้ หรือ พูดง่ายๆ ก็คือ จิตไม่อาจเห็นความจริงของสภาวะธรรมที่เป็นไตรลักษณ์ได้นั่นเอง
ส่วนจิตที่ประกอบไปด้วยความอยากนั้น ชั้นที่ห่อหุ่มจิตไว้จะหนาขึ้น ทำให้จิตไม่ว่องไวที่จะรู้สภาวะธรรม (เปรียบเหมือนคนทีใส่เสื้อผ้าไว้หลาย ๆ ชั้น ก็จะทำอะไรที่ไม่ว่องไว ปราดเปรียว ) เมื่อสภาวะธรรมเกิดขึ้น ก็ไม่อาจจะรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ชั้นที่ห่อหุ้มจิตไว้นี่คือความเป็นอัตตาตัวตนว่าหนาแน่นมากหรือไม่ ถ้าห่อหุ้มไว้มาก ก็จะหนาแน่นมาก
หมายเหตุ ท่านที่ปฏิบัติธรรมแล้ว สามารถเห็นจิต เห็น มโน ได้แล้วด้วยตนเอง ท่านลองสังเกตดูอาการดังกล่าวได้ด้วยตนเอง
****
ในการฝึกฝนวิปัสสนายิกนั้น ท่านสมควรเข้าใจรู้สึกตัวชนิดที่ 2 แล้วก็ให้รู้สึกตัวแบบนี้ไว้ในขณะฝึกฝน ท่านจะเดินทางในสายภาวนาไปได้ด้วยดี
สำหรับผู้ฝึกตามแบบของหลวงพ่อเทียน นั้น ท่านเพียงรู้สึกตัวอย่างธรรมดา แล้วก็เฉยๆ สบายๆ ผ่อนคลาย อย่าอยากรู้สภาวะธรรม เคลื่อนมือ-แล้วหยุดเป็นจังหวะ เหมือนทำเล่น ๆ อย่าทำแบบเอาเป็นเอาตาย ถ้าท่านทำแบบนี้ ความคิดผุดมาก็สลัดมันทิ้งไป ถ้าเผลอมา ก็เริ่มใหม่ ทำเล่นๆ ไปเรื่อยๆ ก็จะดีขึ้นมา มีการพัฒนาของกำลังจิตขึ้นมาได้
ถ้าท่านนำไปใช้กับการเดินจงกรม ก็เดินแบบสบายๆ ผ่อนคลาย เหมือนเดินชมสวนดอกไม้ ให้มีจิตใจทีเบิกบาน