ถ้าอนาคตไม่มีการขึ้นเงินเดือน แล้วจะเป็นอย่างไร

เรื่องราวของการบริหารค่าจ้างและเงินเดือนนั้นมีวิวัฒนาการมายาวนานมาก ตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เริ่มเป็นยุคของการทำอุตสาหกรรม มีการเปลี่ยนจากเกษตรกรรม มาเป็นอุตสาหกรรม และมีการว่าจ้างพนักงานเข้ามาทำงานมากขึ้น โดยนายจ้างเป็นผู้จ่ายค่าจ้างและเงินเดือนให้กับพนักงานตามลักษณะงานที่ทำ และตามผลงานที่ได้

วิวัฒนาการในการให้รางวัลผลงานแก่พนักงานในช่วงแรกๆ ก็จะเป็นเรื่องของการใช้ระบบ Incentive ก็คือ ใครที่สามารถสร้างชิ้นงานได้เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดทั้งในด้านปริมาณ และคุณภาพของงาน นายจ้างก็จะเพิ่มอัตราค่าจ้างให้เป็นส่วนเพิ่ม เพื่อจูงใจให้พนักงานสร้างชิ้นงานที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จากนั้นก็เริ่มเอาแนวคิดเรื่องของผลงานเข้ามาใช้ในการเป็นเหตุผลในการขึ้นเงินเดือนประจำปี กล่าวคือ พนักงานคนใดที่ทำผลงานได้ดีในปีนั้นๆ ก็จะได้รับการขึ้นเงินเดือนตามผลงานที่มากกว่าพนักงานที่ทำผลงานไม่ดี

จากนั้นก็เริ่มมีการให้โบนัสตามผลงานของบริษัท ก็คือ พนักงานทุกคนได้เท่ากันหมด ไม่ว่าผลงานของตนเองจะเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี เพราะตอนนั้นเรื่องของโบนัสเป็นเรื่อของผลงานของบริษัทในภาพรวม ดังนั้นพนักงานทุกคนจะได้รับโบนัสที่เท่ากัน ในยุคนั้นบริษัทใดที่จ่ายโบนัสสูงๆ ก็มักจะเป็นที่กล่าวขวัญถึงของบรรดาพนักงาน และเป็นบริษัทที่พนักงานอยากเข้าไปร่วมงานด้วย

พอเข้าสู่ยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งการแข่งขันเชิงธุรกิจสูงมาก เศรษฐกิจเป็นแบบขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้บริษัทต้องระมัดระวังในเรื่องของการบริหารต้นทุน และการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้องค์กรสามารถอยู่รอดได้

ซึ่งเรื่องของเงินเดือนพนักงานก็คือความเสี่ยงแรกที่ธุรกิจมอง เงินเดือนเป็นต้นทุนคงที่ ไม่ว่าบริษัทจะกำไรมาก กำไรน้อย ก็ต้องจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานตามที่ตกลงกันไว้ ดังนั้นถ้าเราขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานไปเรื่อยๆ เช่น กำไรดี ก็ขึ้นเงินเดือนเยอะๆ ไปเลย ความเสี่ยงในเรื่องของต้นทุนค่าจ้างเงินเดือนก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ

แนวโน้มของการให้รางวัลผลงานก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากการขึ้นเงินเดือนประจำปีตามผลงาน ก็กลายมาเป็นการให้โบนัสตามผลงาน ก็คือ ให้โบนัสเยอะๆ ถ้าบริษัทมีกำไรมากๆ โดยที่ขึ้นเงินเดือนไม่เยอะนัก เพราะต้องการจะรักษาต้นทุนพนักงานไว้ให้คงที่มากที่สุด แนวทางแบบนี้เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะจากตัวเลขอัตราเฉลี่ยของการขึ้นเงินเดือนประจำปีในบ้านเรานั้น ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5% และมีแนวโน้มจะลดลงเรื่อยๆ ด้วย

ก็เลยมานั่งคิดเล่นๆ ว่า ถ้าอนาคตเราไม่ขึ้นเงินเดือนตามผลงานเลย แต่ใช้โบนัสตามผลงานแต่ละปีแทน พนักงานจะรู้สึกอย่างไรกันบ้าง จริงๆ ในปัจจุบันก็มีหลายบริษัทที่เริ่มแนวทางแบบนี้กันบ้างแล้ว ก็คือขึ้นเงินเดือนในอัตราที่น้อยลงๆ ทุกปี แต่เพิ่มโบนัสตามผลงานให้มากขึ้นตามผลประกอบการที่ได้มาในแต่ละปีแทน ปีไหนกำไรมาก ก็ให้โบนัสมากหน่อย ปีไหนกำไรน้อยก็ให้น้อยลงได้ และไม่ผูกพันเป็นต้นทุนระยะยาวของบริษัท

บริษัทเหล่านี้ก็จะสามารถรักษาต้นทุนด้านค่าจ้างได้คงที่ และก็ยังสามารถจูงใจพนักงานให้สร้างผลงานได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย อีกเรื่องหนึ่งที่มีบางบริษัทได้นำเข้ามาใช้กันบ้างแล้วก็คือ Long-term incentive เป็นเงินรางวัลในระยะยาว เช่นถ้าทำผลงานได้ดีติดต่อกันกี่ปี ก็จะมีเงินโบนัสคูณพิเศษให้เพิ่มเติมไปอีก ดังนั้นใครที่รักษาระดับผลงานของตนเองได้ในระยะยาว ก็จะได้รางวัลที่มากกว่าคนที่ทำผลงานขึ้นๆ ลงๆ ในแต่ละปี

ส่วนเรื่องของการขึ้นเงินเดือนประจำปีตามผลงานนั้น ก็ปรับใหม่ ให้เป็นการปรับเงินเดือนตามอัตราค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อรักษาระดับรายได้ของพนักงานให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

ถามว่าแล้วเงินเดือนจะไม่มีการปรับเลยหรือ คำตอบก็คือ มีครับ แต่จะปรับในกรณีที่พนักงานสามารถทำงานที่ยากขึ้น และต้องอาศัยความรับผิดชอบที่มากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งมีความสามารถที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับงานของตนอยู่เสมอ คนแบบนี้มักจะได้เงินเดือนขึ้นตามผลงานด้วย และได้โบนัสตามผลงานต่างหากด้วย ซึ่งคนแบบนี้ในแต่ละองค์กรก็จะมีไม่มาก

พนักงานส่วนใหญ่ก็จะขึ้นเงินเดือนกันตามค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น และหันไปให้น้ำหนักกับเรื่องของโบนัสตามผลงานแทนการขึ้นเงินเดือน

ผมเคยได้ยินมาว่า อนาคตรางวัลในแง่ของตัวเงินจะค่อยๆ หายไป และจะไปเน้นการให้รางวัลในรูปแบบที่จับต้องไม่ได้มากขึ้น ก็คือเน้นไปที่ความรู้สึกของคนมากขึ้นกว่าเดิม

ตอนนี้ก็ยังมองไม่ออกว่า พอถึงเวลานั้นแล้ว รูปแบบของการให้รางวัลจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

Create Date : 19 ตุลาคม 2554		0 comments
Last Update : 19 ตุลาคม 2554 6:32:19 น.
Counter : 1252 Pageviews.
Share Tweet