HR Management and Self Leadership
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
4 เมษายน 2555

เรื่องจริงของการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ

ผมได้เขียนเรื่องราวของการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไปหลายมุมมองมาก พร้อมกับให้สูตรในการคำนวณเพื่อให้มีการปรับที่เป็นธรรมกับพนักงานและบริษัทเองก็สามารถควบคุมงบประมาณที่ตนเองพอจะมีอยู่ได้ ลองค้นหาดูในบทความเก่าๆ เกี่ยวกับเรื่องของการบริหารค่าจ้างเงินเดือนนะครับ แต่สิ่งที่ผมได้รับทราบมาจากหลายๆ บริษัทก็คือ มีหลายบริษัทที่ใช้วิธีการที่ไม่ค่อยเหมาะสม และทำการปรับโดยไม่ค่อยถูกต้องนัก ทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรม มีอะไรบ้างลองมาดูกันนะครับ

  • ปรับพนักงานรายวันไปที่ 300 บาท โดยปรับให้เฉพาะพนักงานที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่า 300 ให้เป็น 300 ส่วนคนที่ได้ 300 บาทขึ้นไป ก็จะไม่อยู่ในข่ายที่จะต้องถูกปรับ ผลก็คือ พนักงานใหม่ได้รับค่าจ้างที่สูงทัดเทียมกับพนักงานเก่าที่อยู่ทำงานมานาน ซึ่งทำให้หมดแรงจูงใจในการทำงาน เหมือนกับที่ผ่านมาที่อุตส่าห์สร้างผลงานไว้และได้รับการขึ้นค่าจ้างมาเรื่อยๆ ก็มาหมดความหมายกันก็วันนี้
  • ปรับรายเดือนโดยใช้จำนวนวัน 26 วันเป็นตัวคูณให้เป็นรายเดือน วิธีนี้ก็ไม่ถูกต้องอีกเช่นกัน พนักงานรายเดือนกฎหมายมีกำหนดชัดเจนว่าเวลาที่จะคำนวณค่าจ้างรายวันจากอัตราเงินเดือนที่พนักงานได้รับอยู่นั้น ให้หารด้วย 30 ซึ่งก็แปลง่ายๆ ว่ารายเดือนนั้นจะต้องใช้ 30 วันเป็นฐานในการคูณครับ ไม่ใช่ 26 วัน ดังนั้นเขตกรุงเทพ และอีก 7 จังหวัดที่ปรับขั้นต่ำเป็น 300 บาท ถ้าเป็นพนักงานรายเดือน ต่ำสุดที่ต้องได้รับก็คือ 9,000 บาทต่อเดือนครับ
  • เอาค่าจ้างอื่นๆ เข้ามารวม จนครบ 300 บาท หลายบริษัท มีการจ่ายค่าจ้างรายวันที่ 250 บาท และมีจ่ายค่าอาหารอีก 20 บาทต่อวัน มีค่าครองชีพให้อีก 30 บาทต่อวัน พอรวมทั้งหมดแล้วก็คือ 300 บาท ก็เลยไม่ปรับอะไรให้กับพนักงานเลย เพราะถือว่ารวมแล้วครบ 300 บาทต่อวันพอดี ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นอีกวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพราะกฎหมายเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นค่าจ้างขั้นต่ำสุด ซึ่งก็คือ ค่าจ้างมูลฐานที่ไม่ได้มีเงินได้อย่างอื่นเข้ามาปะปน ในทางปฏิบัติถ้าจะเอาค่าจ้างอื่นเข้ามารวมเพื่อคำนวณนั้น ก็คงจะต้องได้รับการยินยอมจากพนักงานเหมือนกันนะครับว่า เงินค่าอาหารจากนี้ต่อไปเราจะยกเลิก และเอาเข้ามารวมในฐานค่าจ้างเลย ซึ่งผลก็คือ จะทำให้ค่าจ้างต่อวันสูงขึ้น และทำให้นายจ้างปรับค่าจ้างในส่วนต่างที่น้อยลงเมื่อเทียบกับการไม่ได้เอาเงินได้อื่นเข้ามารวม จริงๆ แล้วกรณีนี้เป็นกรณีที่ทำให้ลูกจ้างเสียเปรียบ ซึ่งกฎหมายแรงงานก็ไม่ยอมอยู่แล้วครับ
  • ไม่ปรับใครจะทำไม นายจ้างหลายรายก็ไม่มีการปรับอัตราค่าจ้างตามที่รัฐกำหนด ยังคงจ่ายเท่าเดิม และถ้าพนักงานคนไหนอยากจะออก ก็เชิญเลย วิธีนี้ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนทำนะครับ แต่ปรากฎว่ามีบริษัทส่วนหนึ่งทำวิธีนี้ครับ โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีเงินปรับ ถ้ารับไม่ได้ก็ลาออกไปทำงานที่อื่น (มองลึกๆ แล้วเหมือนกับวิธีการลดพนักงานในทางอ้อม)
  • เอาผลงานพนักงานเข้ามามีส่วนในการปรับฐานครั้งนี้ ซึ่งผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ เพราะการปรับครั้งนี้เป็นการปรับฐานเงินเดือนเนื่องจากผลกระทบจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่รัฐกำหนดไว้ บางบริษัทก็เอาผลงานของพนักงานมาเป็นเครื่องมือตัดสินว่าใครจะได้ปรับมากหรือปรับน้อย เช่น พนักงาน 2 คน ปัจจุบันได้ค่าจ้างเท่ากันที่ 250 บาท ซึ่งถ้าไม่เอาเรื่องผลงานเข้ามาเกี่ยวทั้งสองคนจะได้ปรับ 70 บาทเป็นอัตราใหม่ที่ 320 บาทเท่ากัน แต่พอเอาผลงานเข้ามาพิจารณาด้วยก็เลยเกิดผลว่า คนแรกผลงานดีก็ปรับไปที่ 320 บาทตามเกณฑ์ แต่อีกคนผลงานไม่ดี ก็เลยปรับให้เป็น 300 บาทพอดี ผลก็คือ จากเดิมที่สองคนนี้เคยได้รับค่าจ้างเท่ากัน พอปรับใหม่ ก็กลายเป็นไม่เท่ากันไปเสียแล้ว ผมมองว่าวิธีนี้ไม่ควรใช้ เพราะเหตุผลในการปรับครั้งนี้ ไม่มีเรื่องของผลงานพนักงานเข้ามาเกี่ยวข้องเลย รัฐไม่ได้บอกเลยว่า 215 มาเป็น 300 นั้น ผลงานของพนักงานจะต้องเป็นอย่างไร ดังนั้น ถ้าจะปรับเรื่องผลงานจริงๆ ให้ไปปรับเอาตอนการปรับขึ้นเงินเดือนตามผลงานประจำปีจะดีกว่าครับ การบริหารค่าจ้างก็จะมีเหตุมีผล และมีหลักเกณฑ์มากขึ้น ซึ่งจะทำให้พนักงานรู้สึกถึงความเป็นธรรมครับ

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งในการปรับค่าจ้างในครั้งนี้ เพราะล้วนแล้วแต่สร้างความไม่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นในองค์กร พนักงานจะรู้สึกว่า องค์กรปรับให้อย่างไม่เป็นธรรม บางองค์กรปรับให้ในอัตราที่สูงมาก แต่ปรับอย่างไม่เป็นธรรม พนักงานก็ไม่รู้สึกถึงอัตราที่สูงนั้นเลย กลับรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมนั้นมากกว่า สุดท้ายนายจ้างอุตสาห์เสียงบประมาณไปมากมาย แต่กลับมีแต่ปัญหาที่ต้องตามแก้ไขไปอีกนาน

ผิดกับบางองค์กรมีงบประมาณน้อยมากในการปรับ แต่เขาคำนึงถึงความเป็นธรรมในการปรับ ผลก็คือ แม้พนักงานจะได้รับการปรับไม่มากนัก แต่ความรู้สึกของพนักงานกลับรู้สึกถึงความเป็นธรรม ซึ่งก็ส่งผลต่อแรงจูงใจในการทำงานตามมาด้วย




 

Create Date : 04 เมษายน 2555
1 comments
Last Update : 4 เมษายน 2555 6:35:44 น.
Counter : 1861 Pageviews.

 

ขอบคุณที่นำมาลงให้อ่านค่ะ ได้ข้อคิดเพิ่มขึ้น

 

โดย: เพรางาย 4 เมษายน 2555 20:20:48 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


singhip
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
ที่ปรึกษาทางด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล
และการพัฒนาภาวะผู้นำ

วางระบบการบริหารค่าจ้างเงินเดือน ระบบบริหารผลงาน และระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคลให้กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน
[Add singhip's blog to your web]