นักปฏิบัติ ๔ ประเภท
พวกเราที่มาปฏิบัติธรรมกันนี้
เป็นผู้ที่ปฏิบัติที่มีความรู้ความสามารถไม่เท่ากัน
มีความฉลาดมากน้อยต่างๆ กัน
มีกิเลสตัณหามากน้อยต่างๆ กัน
การปฏิบัติของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกันคือ
ผู้ปฏิบัตินี้จะมีอยู่ ๔ ประเภทด้วยกัน
ประเภทที่ ๑ ก็คือผู้ที่ปฏิบัติง่ายและบรรลุเร็ว
คือพวกที่ปฏิบัติง่ายก็คือพวกกิเลสบาง
มีอุปสรรคน้อยในการปฏิบัติ อุปสรรคก็คือนิวรณ์ต่างๆ
เช่นกามฉันทะ ความอยากในรูปเสียงกลิ่นรส
ความง่วงเหงาหาวนอน
ความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ความโกรธ อาฆาตพยาบาท
และอันสุดท้ายความง่วงเหงาหาวนอน
ความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท
ความลังเลสงสัยและกามฉันทะ นี่ คือกิเลสหรืออุปสรรค
ที่ขวางกั้นผู้ปฏิบัติให้ปฏิบัติได้ง่ายหรือปฏิบัติได้ยาก
ถ้ามีนิวรณ์มีกิเลสมาก
ก็จะปฏิบัติได้ยากทำใจให้สงบได้ยาก
ส่วนพวกที่บรรลุเร็วคือเป็นผู้ที่มีความฉลาดในความคิด
ผู้สามารถพิจารณาเห็นไตรลักษณ์
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้อย่างชัดเจนและง่ายดาย
ก็จะทำให้บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว
ถ้าสามารถพิจารณาธรรมต่างๆ
ให้เห็นว่าเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา เป็นอสุภะ
ถ้าพิจารณาเห็นได้ง่ายดายก็จะบรรลุได้อย่างรวดเร็ว
แต่ก่อนที่จะบรรลุได้อย่างรวดเร็ว
ก็ต้องปฏิบัติให้ใจสงบให้ได้ก่อน
ถ้าใจไม่สงบยังไม่สามารถ ที่จะเข้าสู่ระดับปัญญาได้
ยังต้องต่อสู้กับนิวรณ์คือกามฉันทะ
ความอยากเสพรูปเสียงกลิ่นรส
ความง่วงเหงาหาวนอนหรือความเกียจคร้าน
ความฟุ้งซ่าน ความโกรธ เกลียด
เคียดแค้นอาฆาตพยาบาท ที่เป็นอุปสรรค
ที่ผู้ปฏิบัติจะต้องทำลายให้ได้ก่อน
ถึงจะเข้าสู่ความสงบได้ แต่การปฏิบัติเพื่อให้ใจสงบนี้
ยากง่ายก็อยู่ตรงที่ว่ามีอุปสรรค
คือนิวรณ์ ๕ ประการนี้มากน้อยเพียงไร
ถ้ามีมากก็จะปฏิบัติยาก
เหมือนกับการ ที่เราจะไปทำสงครามทำศึก
ถ้ามีคู่ต่อสู้ข้าศึกศัตรูมีจำนวนมาก
ก็จะยากต่อการที่จะเอาชัยชนะ
ถ้าข้าศึกศัตรูมีจำนวนน้อยก็จะง่ายต่อการที่จะเอาชัยชนะ
ชัยชนะของเราก็คือความสงบของใจ
การที่ใจเราจะสงบได้เราต้องทำลายนิวรณ์ทั้ง ๕ นี้
คือกามฉันทะ ความลังเลสงสัย
ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
วิจิกิจฉา ความโกรธเกลียด อาฆาตพยาบาท
แล้วก็ความง่วงเหงาหาวนอน
ความฟุ้งซ่านคิดไม่หยุดไม่หย่อน
นี่คือสิ่งที่จะทำให้การปฏิบัติยาก ถ้าเรามีนิวรณ์น้อย
เช่นแทนที่จะมี ๕ อาจจะมีแค่ตัวเดียว
เช่นความง่วงเหงาหาวนอน
สมมุติแล้วถ้าเรารู้จักวิธีแก้ ความง่วงเหงาหาวนอนนี้ก็คือ
ไปอยู่ที่น่ากลัวหรืออดอาหาร
ก็จะช่วยทำลายความง่วงเหงาหาวนอนได้
ก็จะไม่มี อุปสรรคในการที่เราจะเดินจงกรม
นั่งสมาธิเพื่อทำใจให้สงบ
อันนี้เป็นเหตุที่จะทำให้การปฏิบัตินั้นยากหรือง่าย
ผู้ที่ไม่มีนิวรณ์หรือมีนิวรณ์น้อยก็จะปฏิบัติง่าย
จะทำใจให้สงบได้ง่าย พอใจสงบแล้วถ้ามีความฉลาด
ที่เห็นไตรลักษณ์ได้อย่างรวดเร็ว
เห็นอนิจจัง เห็นทุกขัง เห็นอนัตตา เห็นอสุภะ
ถ้าเห็นได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว
ก็จะบรรลุได้อย่างรวดเร็ว คือประเภทที่ ๑
พวกที่มีความฉลาดแล้วก็มีนิวรณ์น้อย
ก็จะเป็นพวกที่รู้เร็วปฏิบัติง่าย
พวกที่ ๒ คือพวกตรงกันข้าม
พวกที่รู้ช้าและปฏิบัติยาก พวกนี้ก็คือปัญญาทึบไม่ฉลาด
พิจารณาไตรลักษณ์ไม่เป็น พิจารณาอนิจจังไม่เป็น
พิจารณาทุกขังไม่เป็น พิจารณาอนัตตาไม่เป็น
พิจารณาอสุภะไม่เป็น มองอย่างไรก็มองไม่เห็นอสุภะ
มองอย่างไรก็ไม่เห็นอนิจจัง มองอย่างไรก็ไม่เห็นทุกขัง
มองอย่างไรก็ไม่เห็นอนัตตา
พวกนี้เรียกว่าเป็นพวกปัญญาทึบแล้วก็มีกิเลสหนา
คือมีนิวรณ์มากมีกามฉันทะ มีวิจิกิจฉา
มีความง่วงเหงาหาวนอน มีความฟุ้งซ่าน
มีความโกรธเกลียดเคียดแค้นอาฆาตพยาบาท
แต่ถ้ามีสิ่งเหล่านี้อยู่ภายในใจ
จะทำให้การทำใจให้สงบนี้เป็นไปได้อย่างยากเย็น
ถ้ามีอย่างนี้พวกนี้เรียกว่า เป็นพวกที่ปฏิบัติยาก
และบรรลุช้า ส่วนอีก ๒ พวกก็อยู่กลางๆ
คือ พวกที่ ๓ นี้เป็นพวกที่มีกิเลสหนาแต่มีความฉลาดแหลมคม
เวลาจะทำใจให้สงบนี้ต้องฟันฝ่ากับนิวรณ์ต่างๆ
เพราะมีนิวรณ์มากก็เลยทำให้ปฏิบัติยาก
แต่พอสามารถทำใจให้สงบได้แล้ว
ก็จะทำให้บรรลุได้อย่างรวดเร็ว
เพราะมีความฉลาดในทางปัญญา
มองเห็นอนิจจังได้อย่างง่ายดาย
มองเห็นทุกขังได้อย่างง่ายดาย
มองเห็นอนัตตาได้อย่างง่ายดาย
มองเห็นอสุภะได้อย่างง่ายดาย
พวกนี้จึงเป็นพวกที่ ๓ คือเป็นพวกที่ปฏิบัติยาก
เพราะมีนิวรณ์มาก แต่พอฟันฝ่านิวรณ์ได้ทำใจให้สงบได้แล้ว
ก็จะบรรลุได้อย่างรวดเร็ว เป็นพวกที่รู้เร็วแต่ปฏิบัติยาก
พวกที่ ๔ ก็เป็นพวกที่นิวรณ์ไม่มาก
ปฏิบัติง่ายไม่มีนิวรณ์มาคอยขัดคอยขวาง
สามารถทำใจให้สงบได้ อย่างง่ายดาย
นั่งสมาธิ ๕ นาที ๑๐ นาที จิตก็รวมลงเข้าสู่สมาธิ
พวกนี้เรียกว่าปฏิบัติง่ายเพราะไม่มีนิวรณ์
นิวรณ์ก็คือกามฉันทะ ความอยากเสพ
รูปเสียงกลิ่นรสไม่มี ความเกียจคร้าน
ความง่วงเหงาหาวนอนไม่มี
ความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่มี
ความโกรธ เกลียด เคียดแค้นอาฆาตพยาบาทไม่มี
ความฟุ้งซ่านไม่มี ไม่คิดมาก
คิดอยู่แต่พุทโธๆ เพียงอย่างเดียว
นี่แสดงว่าเป็นพวกที่มีกิเลสบางมีนิวรณ์น้อย
หรือไม่มีเลย เวลานั่งสมาธิ ๕ นาที
จิตก็รวมเข้าสู่ความสงบได้
พวกนี้เรียกว่าเป็นพวกที่มีนิวรณ์น้อยมีกิเลสบาง
เป็นพวกที่ปฏิบัติง่าย ปฏิบัติให้ใจสงบง่าย
แต่มาช้าตรงที่ขั้นปัญญา เป็นปัญญาทึบ
คือมองไม่เห็นอนิจจัง มองไม่เห็นอนัตตา
มองไม่เห็นทุกขัง มองไม่เห็นอสุภะ
ก็เลยไม่สามารถบรรลุธรรมได้
มีความสงบมีสมาธิแต่ไม่มีปัญญาหรือปัญญาทึบ
ต้องใช้เวลาในการพิจารณาอย่างมากๆ
กว่าจะเห็นอนิจจัง กว่าจะเห็นอนัตตา
กว่าจะเห็นทุกขัง กว่าจะเห็นอสุภะ
พวกนี้ก็เป็นพวกที่ ๔ พวกที่ที่ปฏิบัติง่ายแต่รู้ช้าบรรลุช้า
นี่คือลักษณะของผู้ปฏิบัติ ๔ ประเภทด้วยกัน
ประเภทที่ ๑ ก็รู้เร็วและปฏิบัติง่าย
พวกที่ ๒ ปฏิบัติยากรู้ช้า
พวกที่ ๓ ปฏิบัติยากแต่รู้เร็ว
และพวกที่ ๔ ปฏิบัติง่ายแต่รู้ช้า
ขึ้นอยู่ที่ปัญญาและกิเลส กิเลสก็คือนิวรณ์
ถ้ามีนิวรณ์มากการปฏิบัติก็จะยาก
ถ้ามีนิวรณ์น้อยการปฏิบัติก็จะง่าย.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
...........................
ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙
นักปฏิบัติ ๔ ประเภท
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ