bloggang.com mainmenu search










“ผู้ที่จะเข้าถึงความสงบ

ต้องทำตัวเหมือนคนตาย”

คำว่าสมาธิก็คือดึงใจเข้าไปข้างใน เข้าไปในใจ

 ตอนนี้ใจของพวกเรา อยู่ที่รูปเสียงกลิ่นรส

 อยู่ที่ลาภยศ สรรเสริญกัน

ใจของพวกเราคิดแต่เรื่องนี้

 คิดว่าจะหาลาภ หายศ หาสรรเสริญ

 หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน

ไม่เคยคิดว่าจะเลิกหากันไม่เคยคิดว่าจะตัดมัน

 มีแต่จะหาอยู่เรื่อยๆ มันจึงเข้าข้างใจไม่ได้

 นั่งอย่างไรมันก็ไม่สงบ เพราะมันนั่งน้อยไป

นั่ง ๒๐ นาที หรือครึ่งชั่วโมง

แล้วก็ออกไป ๑๕ ชั่วโมง

 ออกไปข้างนอก ไปหารูปเสียงกลิ่นรส

ไปหาลาภยศ สรรเสริญ

วันหนึ่งนั่งสมาธิได้ครึ่งชั่วโมงได้ชั่วโมงหนึ่ง

มันจะได้เรื่องอะไร ในเมื่อมันปล่อยให้ใจ

ออกไปข้างนอกตลอดเวลา มันต้องนั่งให้มาก

 พอนั่งเสร็จ พอลุกขึ้นมาก็ไม่ไปหา รูปเสียงกลิ่นรส

 ลุกขึ้นมาก็เดินจงกรม ใช้สติดึงใจให้อยู่กับพุทโธๆ

 ให้อยู่กับร่างกายก็ได้ ไม่ให้ไปหาลาภยศ สรรเสริญ

 ไม่ให้ไปหารูปเสียงกลิ่นรส

ไม่ให้ไปหาเหตุการณ์ต่างๆ เรื่องราวต่างๆ

แม้แต่ข่าวสารนี้ก็เป็นรูปเสียงกลิ่นรส

ผู้ที่ต้องการความสงบนี้ต้องตัดหมดเลย

 ต้องตัดลาภยศ สรรเสริญ ต้องตัดเรื่องราวต่างๆ

 เหตุการณ์ต่างๆ บุคคลต่างๆ สิ่งต่างๆ

ไม่ไปสนใจใยดีเลยไม่รู้เรื่อง

ไม่รู้ราวไม่สนใจ ไม่รับรู้

 ใครจะเป็นใครจะตายมันเรื่องของเขา

 เราต้องทำตัวของเราเหมือนคนตาย

 เราจึงจะสามารถตัดสิ่งต่างๆได้

สมมุติว่าถ้าเราตายวันนี้

เราก็ไม่สามารถ ที่จะติดต่อกับใครได้แล้ว

 ไม่สามารถติดต่อกับสิ่งต่างๆ กับบุคคลต่างๆ

กับเหตุการณ์ต่างๆได้ ลาภยศ สรรเสริญ

 สุขที่เรามีอยู่ ก็หมดจากเราไป

 มีเงินร้อยล้านพ้นล้านเวลาเราตาย

ก็ไม่ใช่เป็นของเราแล้ว

มีตำแหน่งเป็นนายกฯ เป็นอะไร

 พอตายไปก็ไม่เป็นแล้ว

มีสรรเสริญมีคนยกย่องเยินยอขนาดไหน

ตายแล้วก็เขาก็ไม่มายกย่องเยินยอ

ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายก็หาไม่ได้แล้ว

เราต้องสมมุติว่าเราเป็นคนตาย

 ถ้าเราอยากจะปฏิบัติเพื่อให้ใจเราเข้าข้างใน

เข้าสู่ความสงบ ต้องคิดว่าเราตาย

จากทุกสิ่งทุกอย่างไป ตายจากลาภยศ สรรเสริญ

 ตายจากรูปเสียงกลิ่นรส เราเป็นคนตายแล้ว

 เราติดต่อกับลาภยศ สรรเสริญ

ติดต่อกับคนนั้นคนนี้ไม่ได้แล้ว

 เงินทองของเราใครจะเอาไปทำอะไรนี้

เราไปห้ามเขาไม่ได้แล้ว ไม่ได้เป็นของเราแล้ว

 ถ้าเราคิดอย่างนี้เราก็จะสามรถตัดการติดต่อ

 ตัดการส่งใจให้ออกไปหาสิ่งต่างๆ ได้

 เราก็จะดึงใจด้วยพุทโธให้เข้าข้างในได้

การปฏิบัตินี้ก็เพื่อดึงใจเข้าข้างใน

จะดึงได้ก็ต้องตัดเชือกที่คอยผูกใจไว้

 เหมือนเรือนี้ถ้าจะให้เรือวิ่งได้

ก็ต้องตัดเชือกตัดสมอ

 ถ้ามันยังผูกติดอยู่กับท่าเรือนี้

วิ่งอย่างไรมันก็วิ่งไปไม่ได้

 ต้องตัดเชือกที่มันผูกอยู่กับท่าเรือ

พอตัดแล้วเรือมันก็จะวิ่งออกไปได้

ใจของเราจะเข้าข้างในได้

ก็ต้องตัดลาภยศ สรรเสริญ

 ตัดรูปเสียงกลิ่นรส ตัดบุคลต่างๆ

 คิดว่าตายจากกันแล้ว

 ตายจากพ่อจากแม่ จากพี่จากน้อง

จากสามี จากภรรยา จากบุตรจากธิดา

จากญาติสนิทมิตรสหาย

เราเหลือแต่ดวงวิญญาณดวงเดียวแล้ว

ผู้ปฏิบัติต้องคิดว่าตัวเองเป็นดวงวิญญาณ

 ไม่มีร่างกายที่จะติดต่อกับใครได้แล้ว

 ถ้าคิดอย่างนี้ได้ก็ไปอยู่ในป่าคนเดียวได้

จะไม่คิดถึงใคร ถ้าไปอยู่ในป่าคนเดียวได้

เดี๋ยวก็บรรลุธรรมได้

หลวงปู่มั่นท่านไปอยู่ในป่าองค์เดียว

 ท่านก็ไปบรรลุธรรมที่เชียงใหม่

ก่อนหน้านั้นท่านก็ยังมีความผูกพัน

กับลูกศิษย์ลูกหาญาติโยมพระเณร

 คอยอบรมสั่งสอน

 ทำให้ท่านไม่มีเวล่ำเวลา

ที่จะดึงใจให้เข้าสู่ข้างในได้

 จนในที่สุดถ้าทำอย่างนี้ต่อไป

ก็ไม่มีวัน ที่จะบรรลุได้

 ท่านก็เลยอายุ ๖๐ แล้วก็ไปอยู่ป่า

 ไปธุดงค์ในป่าอยู่องค์เดียวไม่ยุ่งกับใคร

ไม่ให้ใครมาอยู่ด้วย

ลูกศิษย์ลูกหาจะตามมาไม่ให้มา

 ถ้าตามมาก็จะหนี ไม่ให้อยู่ด้วยกัน

ต้องการอยู่คนเดียวอยู่เหมือนคนตาย

 อยู่คนเดียวนี้ก็อยู่เหมือนคนตาย

คนตายนี้ไม่มีพี่ไม่มีน้องไม่มีสามี ไม่มีภรรยา

 ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีลาภยศ

 สรรเสริญ ไม่มีอะไรแล้ว

 มีแต่ดวงจิตดวงใจอันเดียว

ถ้าทำอย่างนี้จะควบคุมจะดึงใจ

เข้าสู่ความสงบได้ง่าย

 พุทโธๆๆไปเดี๋ยวเดียว จิตก็รวมได้

 พิจารณาทางปัญญาก็จะเห็นว่า

ทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ไปหมด

ร่างกายเป็นไตรลักษณ์เป็นอสุภะไป

 ตัดตัณหาความอยากต่างๆ ให้หมดไปจากใจได้

 บรรลุธรรมได้ ผู้ที่บรรลุธรรมนี้

ส่วนใหญ่ไปบรรลุกันในป่าทั้งนั้น

 บรรลุในขณะที่อยู่องค์เดียว

พระอานนท์ขณะที่อยู่กับพระพุทธเจ้า

รับใช้พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บรรลุ

เพราะใจของท่านเข้าข้างในไม่ได้

 เพราะห่วงพระพุทธเจ้า

ทำหน้าที่รับใช้พระพุทธเจ้า

คอยดูแลอัฐบริขารให้พระพุทธเจ้า

เป็นเลขาให้กับ พระพุทธเจ้าก็เข้าข้างในไม่ได้

 แต่พอพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว

 พระอานนท์อยู่องค์เดียว

 ไปเดินจงกรมนั่งสมาธิในป่าองค์เดียว

 ๓ เดือนก็บรรลุแล้ว

นี่แหละเราต้องเปรียบเทียบดู

ผู้ที่เขาบรรลุ เขาบรรลุกันอย่างไร

 เขาอยู่ในสภาพไหน

 ผู้ที่ไม่บรรลุเขาอยู่ในสภาพไหน

 ถ้าเราอยากจะองค์เดียวบรรลุธรรม

 เราก็ต้องเอาตัวอย่างของคนที่เขาบรรลุธรรมกัน

 เขาบรรลุกันอย่างไร

เขาไม่ได้บรรลุกับการอยู่ร่วมกับ คนนั้นคนนี้

กับเรื่องนั้นเรื่องนี้ กับสิ่งนั้นสิ่งนี้

 ถ้าจิตมันไปยุ่งกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ กับคนนั้นคนนี้

 กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันจะเข้าข้างในได้อย่างไร

 มันออกอยู่ตลอดเวลา

มันถูกเรื่องต่างๆ ดึงออกมา

จะบรรลุธรรมได้ ใจต้องเข้าข้างใน

 ใจต้องตัดรูปเสียงกลิ่นรส ตัดลาภยศ สรรเสริญ

ตัดบุคคลต่างๆ ออกไปจากใจ เหมือนตายจากกัน

เราต้องมาหัดตายกัน ตายในขณะที่ยังเป็นอยู่

ร่างกายเรายังอยู่แต่ใจสมมุติว่าเราไม่มีร่างกายแล้ว

 เราจะไม่สามารถติดต่อกับคนต่างๆ ได้แล้ว

 กับสิ่งต่างๆได้แล้ว

เวลาคุณตายนี้ร่างกายนอนเฉยๆ ใช่ไหม

จะโทรศัพท์หาใครก็ไม่ได้แล้ว

 จะไปเยี่ยมใครก็ไม่ได้แล้ว

ไปงานแต่งงาน ใครเขาก็ไม่ให้ไปแล้ว

ถ้าคนตายไปงานแต่งงาน

เขาจะไล่กลับเสียด้วยซ้ำ มาทำไม??

 ถ้าอยากจะบรรลุธรรม

ต้องคิดว่าเราตายจากโลกนี้ไปแล้ว

ถ้ายังคิดว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่อยู่

มันก็จะติดกับคนนั้นคนนี้ ติดกับสิ่งนั้นสิ่งนี้

ติดกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันก็จะเข้าข้างในไม่ได้

สมัยนี้คนปฏิบัติธรรมเขาบอกว่า

ไม่ต้องนั่งสมาธิหรอก

 นั่งอย่างไรมันก็ไม่สงบ เอาปัญญานี่เลย

 แล้วปัญญามันจะตัดได้ไหม

ในเมื่อสมาธิมันยังทำไม่ได้

ปัญญานี้มันยากกว่าสมาธิไม่รู้กี่เท่า

 สมาธิเพียงแต่พุทโธๆ เท่านั้นเอง

 ถ้าเป็นปัญญาจริงมันก็จะสอนให้เราคิดว่า

เราตายไปแล้วนั่นแหละ นี่เรียกว่าปัญญาจริง

อนิจจัง ถ้าเป็นปัญญาจริง

 เราก็ต้องตัดทุกสิ่งทุกอย่างได้

ถ้าเป็นปัญญาปลอม

มันก็เลือกตัดในสิ่งที่มันไม่ชอบได้

 สิ่งที่มันยังชอบอยู่มันก็ไม่ตัด

 เช่นของที่เราไม่ชอบนี้เราโยนทิ้งได้

 แต่ของที่เราชอบนี้ยากไหมจะโยนทิ้ง

ของอะไรที่เราไม่ชอบก็พวกขวดเปล่า

เวลามีน้ำอยู่เราไม่ทิ้ง เก็บไว้ในรถได้

พอกินมันหมดแล้ว เก็บไว้ในรถไม่ได้แล้ว

ต้องโยนทิ้งออกนอกรถ

อันนี้พูดไปให้ญาติโยมมีข้อคิดบ้าง

 ก็จะได้ไม่สงสัยว่า

ทำไมเรานั่งสมาธิไม่เคยได้ผลกันเลย

 ปัญญาก็ตัดกิเลสไม่ได้

 ยังเสียดายยังรักยังหวงอยู่

ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าจะต้องจากกันก็ยังไม่ยอมจากกัน

 จะจากกันก็ต้องถูกบังคับให้จาก จึงจะจากกัน

ฟังเทศน์เราก็ฟังอยู่เรื่อยๆว่า ร่างกายนี้ไม่เที่ยง

 เกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย

 แต่เราไม่ยอมตายกัน ถ้าไม่ถูกบังคับให้ตาย

เราก็ไม่ยอมตายกัน ถ้าเรายอมตายนี้เราจะสบาย

 เราจะตัดกิเลสได้ ตัดความทุกข์ได้

 แต่เราไม่ยอมตาย

เราก็เลยต้องทุกข์กับความตายกัน

 ทุกข์กับความเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์กับความแก่

เพราะความไม่ยอม เพราะคิดว่าเรามีปัญญา

แต่มีปัญญาแต่ตัดกิเลสที่ทำให้เราทุกข์

กับเรื่องความแก่ ความเจ็บ ความตาย

ไม่ได้ รู้ว่าเราเกิดมาแล้วต้องแก่

 ต้องเจ็บ ต้องตาย อันนี้คือปัญญา

แต่ปัญญาที่จะเป็นปัญญาแท้จริง

ต้องตัดได้จึงจะเรียกว่าเป็นปัญญาที่แท้จริง

 เพียงแต่รู้เฉยๆ แต่ตัดไม่ได้นี้

ยังไม่ถือว่าเป็นปัญญาที่แท้จริง

เมื่อเรารู้แล้วว่าเราเกิดมาแล้วต้องแก่

 ต้องเจ็บ ต้องตาย

 ทำไมเราปล่อยไม่ได้ ทำไมเรายอมให้มันแก่

มันเจ็บ มันตายไม่ได้

ก็แสดงว่าปัญญาเราไม่มีกำลังที่จะตัด

ตัดกิเลสคือความอยากไม่แก่

 อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตาย

ก็รู้อยู่ไม่ใช่หรือว่าต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย

แล้วทำไมไม่ยอม

ทำไมยังอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

อยากไปแล้วมันทำให้ไม่แก่

 ไม่เจ็บ ไม่ตายหรือเปล่า

 มันก็แก่ เจ็บ ตายเหมือนเดิม

 แต่ถ้าไม่มีความอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

มันจะไม่ทุกข์ มันจะสบายใจ มันจะเฉยๆ

 มันจึงต้องปฏิบัติ รู้เฉยๆ นี้ไม่พอ

ศึกษาเฉยๆนี้ไม่พอ ศึกษาแล้วต้องมาปฏิบัติ

ต้องมาทำใจให้ได้

การปฏิบัติก็คือการทำใจ

ทำใจให้รับกับความจริงที่เราได้ศึกษามา

เราได้ศึกษามาร่างกายนี้ไม่เที่ยง

 ไม่ใช่ตัวเราของเรา มาจากดินน้ำลมไฟ

เดี๋ยวถึงเวลามันก็ต้องแก่ เจ็บ ตายไป

 ถ้าเรายอมให้มันแก่ เจ็บ ตาย เราจะไม่ทุกข์เลย

 ที่เราทุกข์เพราะเราไม่ยอม ไม่ยอมเเก่

ไม่ยอมเจ็บ ไม่ยอมตายกัน

 เห็นไหมไปทำศัลยกรรมกัน

 ไปย้อมผมกันเปลี่ยนสีกัน

 พอมันขาวก็หาสีใหม่

เดี๋ยวนี้นอกจากสีดำแล้ว

 ก็มีสีแดงสีเขียวเยอะแยะไปหมด

เลยดูไม่รู้ว่าแก่หรือสาว

ความจริงคนแก่นี้จะเจ็บไม่ยอมเจ็บกัน

วิ่งหาหมอ หายากันไป

ที่มีปัญญาว่าเกิดมาแล้วต้องแก่

 ต้องเจ็บ ต้องตาย

ถ้าเป็นปัญญาจริงนี้มันจะหมด

 ทั้งๆทำให้ใจสงบ ไม่ใช่ให้ทำให้ใจทุกข์

 ถ้าเป็นปัญญาปลอมมันจะทำให้ใจทุกข์

 เพราะมันจะไม่ยอมแก่ไม่ยอมเจ็บไม่ยอมตาย

ดังนั้นต้องมาปฏิบัติ

 ฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างเดียว

ยังไม่ได้เป็นปัญญาจริง

 ยังไม่ได้เป็นธรรมแท้ ถ้าเป็นธรรมแท้นี้

 ต้องรักษาใจให้สงบได้ทุกเวลา

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นใจจะนิ่งจะเฉย

จะไม่เดือดร้อนจะไม่วุ่นวายจะไม่หวาดกลัว

 ถึงจะเป็นปัญญาจริงถึงจะเป็นธรรมแท้

ธรรมแท้จะรักษาใจให้สงบให้ปลอดภัย

จากความทุกข์ต่างๆ ถ้ายังมีธรรมะแล้ว

ใจยังทุกข์อยู่ก็แสดงว่าไม่ได้เป็นธรรมะแท้

ไม่ได้เป็นปัญญาที่แท้จริง

 ถ้าเป็นปัญญาที่แท้จริงนี้

ใจจะไม่ทุกข์กับอะไรเลย

ดังนั้นการได้ฟังเทศน์ฟังธรรมเพียงอย่างเดียว

 เป็นเพียงจุดเริ่มต้น

 ต้องฟังจะได้รู้ว่าต้องปฏิบัติอะไร

 ถ้าไม่ฟังเราก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอะไร

 ตอนนี้ฟังเรารู้แล้ว

สิ่งที่เราต้องปฏิบัติก็คือต้องทำใจ

 เราต้องปลงให้ได้ วางให้ได้

ปล่อยให้ได้ ตัดให้ได้

กับของที่ไม่ใช่เป็นของเรา

กับของที่จะต้องเสื่อม

จะต้องจากเราไป ถ้าเราปลงได้ ยอมได้

 ทำใจได้ เราก็จะไม่ทุกข์

ตอนนี้เราทำไม่ได้เพราะเราไม่มีกำลัง

 ใจเราไม่มีกำลังปล่อย เราต้องมาหัดปล่อย

 ด้วยการนั่งสมาธิ

เวลานั่งสมาธิเราก็ปล่อยทุกอย่าง

แล้วดึงใจเข้าข้างในก็เลยกลับมาที่ว่า

ทำไมเราต้องทำตัวเรา เป็นเหมือนคนตาย

 เพื่อเราจะได้ปล่อย

 ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนตายแล้ว

เราก็ปล่อยทุกอย่างแล้ว

 ตอนนี้เราก็สมมุติว่าเราเป็นคนตายแล้ว

เราก็ไปอยู่คนเดียวปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง

 แล้วเราก็จะทำใจให้สงบได้

ทำใจให้เป็นสมาธิได้

พอใจเป็นสมาธิแล้วก็จะปล่อยได้

จะวางได้จะปลงได้

 ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่ทุกข์กับสิ่งทุกอย่าง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

สนทนาธรรมะบนเขา

 วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๙




ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :06 กันยายน 2559 Last Update :6 กันยายน 2559 9:02:51 น. Counter : 846 Pageviews. Comments :1