รู้สึกตัว...เห็นความคิด
@ รูปกายนี้ มันเคลื่อนมันไหวอยู่เรื่อยๆ
ไม่เคยหยุดนิ่ง ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่
มันจะเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้
ผมเลยเอามาทำเป็นจังหวะ
ทำจังหวะ : ยกมือเข้า เอามือออก
ยกมือไป เอามือมา ฯลฯ
เพื่อเป็นการเรียกร้องให้มีสติ
มั่นคงอยู่กับรูปกาย อย่างนี้
ตลอดไปถึงจิตใจคิดนึก
สองอันนี้เป็นเชือกผูกสติเอาไว้
เมื่อความคิดเข้ามา เราเห็น-รู้
กำมือ เหยียดมือ ยกไป ยกมา นี้ก็รู้
แต่ไม่ต้องเอาสติมาจ้องตัวนี้
อย่าเอาสติมาคุมตัวนี้
ให้เอาสติไปคุมตัวความคิด
คำว่า "ไปคุม" คือ ให้คอยดูมัน
ดูไกลๆ ดูสบายๆ อย่าไปดูใกล้ๆ
มันจะเป็นการเพ่ง ไม่เป็นมัชฌิมา
จึงว่า - ทำใจไว้เป็นกลางๆ
พอมันคิดปุ๊บ - ทิ้งไปเลย
@การเฝ้าดูความคิด
โดยไม่พยายามไปทำ
หรือจัดการอะไรกับมัน
เพียงแต่ดูมันเฉยๆ แล้วปล่อยมันไป
นี้คือหนทางของอิสรภาพจากทุกข์
@เพียงดูความคิดนี่แหละ
เพียงความเคลื่อนไหวนี่แหละ
มันเป็นเอง ความเป็นเองมันมีอยู่แล้ว
พร้อมแล้วที่จะปรากฏในคนทุกคนได้
@เพียงเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของจิตใจ
อย่าไปบังคับจิตไม่ให้คิด
อย่าไปพยายามป้องกัน
หรือกำจัดความคิด
คนส่วนใหญ่ต้องการทำจิตใจให้สงบ
เขาเหล่านั้นไม่ต้องการให้จิตใจคิด
นั่นเป็นความเข้าใจของคนอื่น
แต่ในทัศนะของข้าพเจ้าแล้ว
เราควรปล่อยให้จิตใจนึกคิด
ยิ่งมันคิดมากเราก็ยิ่งรู้
รู้ธรรม...คือรู้ตัวเอง
@ พุทธะ จึงแปลว่า ผู้รู้
รู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม
รู้ธรรมก็คือรู้ตัวเรา กำลังทำ
กำลังพูด กำลังคิด เข้าใจธรรม
เมื่อรู้อันนี้แล้วก็เลยรู้บาป รู้บุญ
บาปก็คือโง่นั่นเอง คือไม่รู้
คืออยู่ในถ้ำ มืดอยู่นั่นแหละ
ถ้าเราออกจากถ้ำได้ เรามาอยู่ปากถ้ำ
อยู่ข้างนอกถ้ำ เราก็สามารถมองเห็น
อะไรได้ทุกอย่าง
@ พุทธศาสนาจริงๆ นั้นคือ
ตัวสติ-ตัวสมาธิ-ตัวปัญญา
ที่ฝึกฝนทำดีแล้วนั่นแหละ
ตัวพุทธศาสนามีในตัวคนทุกคน
แล้วแต่บุคคลนั้นจะประพฤติปฏิบัติ
ให้มันปรากฏขึ้นหรือเปล่า
เป็นเรื่องของบุคคลนั้น
@ การรู้เฉยๆ นี้ยังไม่เห็นความคิด
รู้เรื่องรูปนามนี่ยังไม่เห็นความคิด
มันคิดจากไหนไม่รู้
มันคิดแล้วมันก็เข้าไปในความคิด
รู้ไปเรื่อยๆ รู้แต่ดี ชั่วไม่รู้
อันนี้เป็นปัญหาที่ทุกคนควรจำเอาไว้
ความรู้สึกตัว
@ ความรู้สึกตัวเป็นรากเหง้าของบุญ
ความไม่รู้เป็นรากเหง้าของบาป
@ การรู้สึกตัวนั้น เป็นไม้ขีดไฟ
เทียนไขนั้นก็คือ มันคิดเรารู้
เราพยายามจุดสองอย่างนี้
จุดแล้วก็สว่างขึ้นมา
ก็เดินหนีออกจากถ้ำ
ไม่เข้าไปอยู่ในถ้ำ
ถึงจะต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำ
ก็ต้องไม่ให้มันมืดต่อไป
ต้องรู้สึกตัวทันที
นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม
@ การรู้สึกตัวนี้ ให้รู้สึกลงไป
เมื่อมันไหวขึ้นมาให้รู้สึกตามความเป็นจริง
ที่มันเคลื่อนไหวนั้น
เมื่อมันหยุดก็ให้รู้สึกทันทีว่ามันหยุด
อันนี้เรียกว่า สงบ สงบแบบรู้สึกตัว
@การรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย
คือ การเจริญสติ สมาธิ คือ การตั้งใจ
ความสงบ
@ ที่เราต้องการความสงบ หรือพุทธะ
เราไม่ต้องไปทำอะไรให้มาก
เพียงให้ดูต้นตอของชีวิต
เมื่อมันคิดมาอย่าเข้าไปในความคิด
ให้ตัดความคิดออกให้ทัน
@ ความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้น
ก็ต่อเมื่อ เราหยุดการแสวงหา
ต่อเมื่อเราไม่ต้องวิ่งหาบุคคลอื่น
นั้นเรียกว่า ความสงบ
@ ความสงบมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำขึ้น
เป็นความสงบจาก โทสะ โมหะ โลภะ
เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแก่เรา สติจะมาทันที
เนื่องจาก สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่นั่นแล้ว
โทสะ โมหะ โลภะ จึงไม่มี
ถ้าบุคคลใดไม่ได้เจริญสติ
ไม่ได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
บุคคลนั้นจะไม่มีมัน
ทั้งๆ ที่มันมีอยู่ที่นั่นแล้ว
ธรรมะ...อยู่ที่กายใจ...
ไม่ต้องไปแสวงหา
@ การแสวงหาพระพุทธเจ้าก็ตาม
แสวงหาพระอรหันต์ก็ตาม
แสวงหามรรคผลนิพพานก็ตาม
อย่าไปแสวงหาที่ๆ มันไม่มี
แสวงหาตัวเรานี่
ให้เราทำความรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ
นี่แหละ จะรู้จะเห็น
@ ให้ลืมตาทำ เคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้
มันเป็นการไหลไปตามธรรมชาติของมัน
ตาก็ไม่ต้องบังคับให้มันหลับ
ให้มันกะพริบขึ้นลงได้ตามธรรมชาติ
เหลือบซ้ายแลขวาก็ได้
มันจึงเป็นการปฏิบัติธรรมกับธรรมชาติ
และมันก็รู้กับธรรมชาติจริงๆ
@ หนทางไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์นี้
เป็นหนทางที่ง่าย
เหตุที่ยาก เพราะเราไม่รู้มันอย่างแท้จริง
เราจึงมีแต่ความลังเล และสงสัย
วิปัสสนาญาณ ...สู่ปัญญา
@ การที่เราเคลื่อนไหว
แปลว่าปลุกตัวเราให้ตื่น
เมื่อมันคิดให้มันรู้ ความรู้มันจะไปดับ
โทสะ โมหะ โลภะ จะดับความยึดมั่นถือมั่น
แล้วจิตใจเราก็เป็นปกติ
เมื่อเป็นปกติแล้วสิ่งใดมาถูกเรา
เราจะรู้สึกทั้งหมด
เมื่อรู้สึกแล้วเหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ขาดออกจากกัน-คนไม่มี
นี่แหละที่ว่าพระพุทธเจ้าฆ่าคนให้ตาย
มีแต่ชีวิตของพระล้วนๆ
ชีวิตของพระไม่มีเกิด ไม่มีตาย
@ วิธีการยกมือขึ้น คว่ำมือลง
เป็นวิธีเจริญสติ เป็นวิธีเจริญปัญญา
เมื่อได้สัดได้ส่วนสมบูรณ์แล้ว
มันจะเป็นเองไม่ยกเว้นใครๆ
อยู่ที่ไหนก็ทำได้ เด็กๆ ก็ทำได้
ผู้ใหญ่ก็ทำได้ นุ่งผ้าสีอะไรก็ทำได้
ถือศาสนาลัทธิอะไรก็ทำได้
เรียกว่า ของจริง
@ วิปัสสนา คือ การเห็นแจ้งรู้จริง
เห็นอะไร? ก็เห็นตัวเองนี่เอง
กำลังนั่งอยู่ พูดอยู่ในขณะนี้
เห็นจิตใจมันนึกคิดอยู่เดี๋ยวนี้
อันนี้แหละเป็น "วิปัสสนา" จริงๆ
@ คำว่า "วิปัสสนา" นั้น
เป็นเพียงชื่อเท่านั้นเอง
แต่ตัวจริงของวิปัสสนานั้น
ตามตัวหนังสือแปลว่า รู้แจ้ง-รู้จริง
รู้แล้วต่างเก่าล่วงภาวะเดิม ว่าอย่างนั้น
ถ้าหากรู้แจ้ง-รู้จริง เราจะไปเสียเวลา
ดูฤกษ์งามยามดีกันทำไม
จะไปไหว้ผีไหว้เทวดากันทำไม
ถ้าหากรู้แจ้งรู้จริงแล้ว
ก็ไม่ต้องกลัวใครทั้งหมด
ต้นทางพระนิพพาน...ดับทุกข์
@ การที่เราเห็นความคิดนี่เอง
เป็นต้นทางพระนิพพานแล้ว
เมื่อมันคิดวูบขึ้นมา เราก็เห็นปั๊บ
อันกระแสความคิดนี้มันไว
ไวกว่าแสง ไวกว่าเสียง ไวกว่าไฟฟ้า
ไวกว่าอะไรทั้งหมด
เมื่อได้เห็นสมุฏฐานความเร็ว
ความไวของความคิดแล้ว
เรียกว่า อรรถบัญญัติ
@ การเห็นการรู้ความคิด
เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน
การรู้คือการเข้าไปในการคิด
และความคิดก็คงดำเนินต่อไป
เมื่อเราเห็นความคิด
เราสามารถหลุดออกมา
จากความคิดนั้นได้
@ เมื่อเราเห็นความคิดในทุกขณะ
ไม่ว่ามันจะคิดเรื่องใดก็ตาม
เราเอาชนะมันได้ทุกครั้งไป
แล้วเราจะมาถึงจุดหนึ่ง
ที่บางสิ่งในภายในจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
@ การทำความรู้สึกตัวนั้น
จึงมีอานิสงส์มาก ถ้าหากไม่รู้สึกตัว
ในขณะไหนเวลาใดแล้ว
เรียกว่าคนหลงตน ลืมตัว
หลงกายลืมใจ
คล้ายๆ คือเราไม่มีชีวิตนี่เอง
@ ให้ดูใจ เมื่อคิดขึ้นมา เห็น รู้เข้ามา
ทำความเคลื่อนไหว มันจะวาง วางใจ
มันจะมาอยู่กับความรู้สึก
เมื่อมาอยู่กับความรู้สึกแล้ว
ปัญญามันจะเกิด
คนจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะปัญญา
@ ตัวนึกคิดนี่แหละคือสมุทัย
มรรคคือการเอาสติมาดูความคิด
นี่คือข้อปฏิบัติ
@ ให้เห็นความคิด อย่าไปห้ามความคิด
และอย่าไปยึดไปถือ ให้ปล่อยมันไป
นี่คือการเห็นความคิด
คิดแล้วให้ตัดปุ๊บเลย
เหมือนการวิดน้ำออกไปจากก้นบ่อ
ทำอย่างนี้นานๆ เข้า
สติจะเต็มและสมบูรณ์
คิดปุ๊บเห็นปั๊บ
อันนี้แหละคือระดับความคิด
ที่เรียกว่า ปัญญา
ซึ่งเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด
@ แท้จริงแล้วนั้น กิเลสมิได้มีอยู่จริง
แล้วเราจะไปชนะมันได้อย่างไร
สิ่งที่เราต้องทำเพียงอย่างเดียวคือ
เราเพียงแต่ดูจิตใจโดยชัดเจน
เผชิญหน้ากับความคิดโดยแจ่มชัด
เมื่อเราเห็นใจอย่างชัดเจน
โมหะก็จะไม่มีอยู่
@ หลักพุทธศาสนาจริงๆ
สอนให้ละกิเลส คือความอยากนี้เอง
แต่ตัวที่มันอยาก เรากลับไม่เห็น
ไม่รู้ เราต้องดูจิตดูใจ ให้เข้าใจทันทีว่า
เออ
กิเลสเกิดขึ้นแล้ว
ต้องเห็นที่ตรงนี้
@ คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ นั้น
สอนให้เราประพฤติปฏิบัติ
เพื่อทำลายความหลงผิด
ความหลงผิดเกิดขึ้นนั้น ท่านว่าเป็นทุกข์
ทุกข์เพราะเรามีความโกรธ
ทุกข์เพราะเรามีความโลภ
ทุกข์เพราะเรามีความหลง
ถ้าเราไม่มีความโกรธ ความโลภ
ความหลงแล้ว เราก็ไม่ต้องมีทุกข์
ทำการทำงานอะไรก็ต้องไม่มีทุกข์.
แก่นคำสอน
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
................
ขอบคุณที่มา fb. เจริญสติแนวเคลื่อนไหว
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ