bloggang.com mainmenu search











รู้สึกตัว...เห็นความคิด

@ รูปกายนี้ มันเคลื่อนมันไหวอยู่เรื่อยๆ

ไม่เคยหยุดนิ่ง ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่

 มันจะเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้

ผมเลยเอามาทำเป็นจังหวะ

 ทำจังหวะ : ยกมือเข้า เอามือออก

 ยกมือไป เอามือมา ฯลฯ

 เพื่อเป็นการเรียกร้องให้มีสติ

มั่นคงอยู่กับรูปกาย อย่างนี้

 ตลอดไปถึงจิตใจคิดนึก

 สองอันนี้เป็นเชือกผูกสติเอาไว้

 เมื่อความคิดเข้ามา เราเห็น-รู้

กำมือ เหยียดมือ ยกไป ยกมา นี้ก็รู้

 แต่ไม่ต้องเอาสติมาจ้องตัวนี้

อย่าเอาสติมาคุมตัวนี้

ให้เอาสติไปคุมตัวความคิด

 คำว่า "ไปคุม" คือ ให้คอยดูมัน

 ดูไกลๆ ดูสบายๆ อย่าไปดูใกล้ๆ

 มันจะเป็นการเพ่ง ไม่เป็นมัชฌิมา

 จึงว่า - ทำใจไว้เป็นกลางๆ

 พอมันคิดปุ๊บ - ทิ้งไปเลย

@การเฝ้าดูความคิด

โดยไม่พยายามไปทำ

หรือจัดการอะไรกับมัน

 เพียงแต่ดูมันเฉยๆ แล้วปล่อยมันไป

 นี้คือหนทางของอิสรภาพจากทุกข์

@เพียงดูความคิดนี่แหละ

 เพียงความเคลื่อนไหวนี่แหละ

 มันเป็นเอง ความเป็นเองมันมีอยู่แล้ว

 พร้อมแล้วที่จะปรากฏในคนทุกคนได้

@เพียงเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของจิตใจ

 อย่าไปบังคับจิตไม่ให้คิด

อย่าไปพยายามป้องกัน

หรือกำจัดความคิด

คนส่วนใหญ่ต้องการทำจิตใจให้สงบ

เขาเหล่านั้นไม่ต้องการให้จิตใจคิด

 นั่นเป็นความเข้าใจของคนอื่น

 แต่ในทัศนะของข้าพเจ้าแล้ว

 เราควรปล่อยให้จิตใจนึกคิด

ยิ่งมันคิดมากเราก็ยิ่งรู้

รู้ธรรม...คือรู้ตัวเอง

@ พุทธะ จึงแปลว่า ผู้รู้

รู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม

รู้ธรรมก็คือรู้ตัวเรา กำลังทำ

กำลังพูด กำลังคิด เข้าใจธรรม

 เมื่อรู้อันนี้แล้วก็เลยรู้บาป รู้บุญ

บาปก็คือโง่นั่นเอง คือไม่รู้

 คืออยู่ในถ้ำ มืดอยู่นั่นแหละ

 ถ้าเราออกจากถ้ำได้ เรามาอยู่ปากถ้ำ

 อยู่ข้างนอกถ้ำ เราก็สามารถมองเห็น

อะไรได้ทุกอย่าง

@ พุทธศาสนาจริงๆ นั้นคือ

ตัวสติ-ตัวสมาธิ-ตัวปัญญา

ที่ฝึกฝนทำดีแล้วนั่นแหละ

 ตัวพุทธศาสนามีในตัวคนทุกคน

 แล้วแต่บุคคลนั้นจะประพฤติปฏิบัติ

ให้มันปรากฏขึ้นหรือเปล่า

 เป็นเรื่องของบุคคลนั้น

@ การรู้เฉยๆ นี้ยังไม่เห็นความคิด

 รู้เรื่องรูปนามนี่ยังไม่เห็นความคิด

 มันคิดจากไหนไม่รู้

มันคิดแล้วมันก็เข้าไปในความคิด

 รู้ไปเรื่อยๆ รู้แต่ดี ชั่วไม่รู้

อันนี้เป็นปัญหาที่ทุกคนควรจำเอาไว้

ความรู้สึกตัว

@ ความรู้สึกตัวเป็นรากเหง้าของบุญ

 ความไม่รู้เป็นรากเหง้าของบาป

@ การรู้สึกตัวนั้น เป็นไม้ขีดไฟ

 เทียนไขนั้นก็คือ มันคิดเรารู้

 เราพยายามจุดสองอย่างนี้

 จุดแล้วก็สว่างขึ้นมา

 ก็เดินหนีออกจากถ้ำ

ไม่เข้าไปอยู่ในถ้ำ

 ถึงจะต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำ

ก็ต้องไม่ให้มันมืดต่อไป

 ต้องรู้สึกตัวทันที

 นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม

@ การรู้สึกตัวนี้ ให้รู้สึกลงไป

 เมื่อมันไหวขึ้นมาให้รู้สึกตามความเป็นจริง

ที่มันเคลื่อนไหวนั้น

 เมื่อมันหยุดก็ให้รู้สึกทันทีว่ามันหยุด

 อันนี้เรียกว่า สงบ สงบแบบรู้สึกตัว

@การรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย

คือ การเจริญสติ สมาธิ คือ การตั้งใจ

ความสงบ

@ ที่เราต้องการความสงบ หรือพุทธะ

เราไม่ต้องไปทำอะไรให้มาก

เพียงให้ดูต้นตอของชีวิต

 เมื่อมันคิดมาอย่าเข้าไปในความคิด

 ให้ตัดความคิดออกให้ทัน

@ ความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้น

ก็ต่อเมื่อ เราหยุดการแสวงหา

ต่อเมื่อเราไม่ต้องวิ่งหาบุคคลอื่น

นั้นเรียกว่า ความสงบ

@ ความสงบมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำขึ้น

เป็นความสงบจาก โทสะ โมหะ โลภะ

 เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแก่เรา สติจะมาทันที

 เนื่องจาก สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่นั่นแล้ว

 โทสะ โมหะ โลภะ จึงไม่มี

ถ้าบุคคลใดไม่ได้เจริญสติ

ไม่ได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น

บุคคลนั้นจะไม่มีมัน

ทั้งๆ ที่มันมีอยู่ที่นั่นแล้ว

ธรรมะ...อยู่ที่กายใจ...

ไม่ต้องไปแสวงหา

@ การแสวงหาพระพุทธเจ้าก็ตาม

 แสวงหาพระอรหันต์ก็ตาม

 แสวงหามรรคผลนิพพานก็ตาม

 อย่าไปแสวงหาที่ๆ มันไม่มี

 แสวงหาตัวเรานี่

ให้เราทำความรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ

 นี่แหละ จะรู้จะเห็น

@ ให้ลืมตาทำ เคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้

 มันเป็นการไหลไปตามธรรมชาติของมัน

 ตาก็ไม่ต้องบังคับให้มันหลับ

ให้มันกะพริบขึ้นลงได้ตามธรรมชาติ

เหลือบซ้ายแลขวาก็ได้

 มันจึงเป็นการปฏิบัติธรรมกับธรรมชาติ

 และมันก็รู้กับธรรมชาติจริงๆ

@ หนทางไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์นี้

 เป็นหนทางที่ง่าย

 เหตุที่ยาก เพราะเราไม่รู้มันอย่างแท้จริง

 เราจึงมีแต่ความลังเล และสงสัย

วิปัสสนาญาณ ...สู่ปัญญา

@ การที่เราเคลื่อนไหว

แปลว่าปลุกตัวเราให้ตื่น

 เมื่อมันคิดให้มันรู้ ความรู้มันจะไปดับ

โทสะ โมหะ โลภะ จะดับความยึดมั่นถือมั่น

แล้วจิตใจเราก็เป็นปกติ

เมื่อเป็นปกติแล้วสิ่งใดมาถูกเรา

 เราจะรู้สึกทั้งหมด

 เมื่อรู้สึกแล้วเหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใด

ขาดออกจากกัน-คนไม่มี

นี่แหละที่ว่าพระพุทธเจ้าฆ่าคนให้ตาย

 มีแต่ชีวิตของพระล้วนๆ

 ชีวิตของพระไม่มีเกิด ไม่มีตาย

@ วิธีการยกมือขึ้น คว่ำมือลง

เป็นวิธีเจริญสติ เป็นวิธีเจริญปัญญา

 เมื่อได้สัดได้ส่วนสมบูรณ์แล้ว

 มันจะเป็นเองไม่ยกเว้นใครๆ

 อยู่ที่ไหนก็ทำได้ เด็กๆ ก็ทำได้

 ผู้ใหญ่ก็ทำได้ นุ่งผ้าสีอะไรก็ทำได้

ถือศาสนาลัทธิอะไรก็ทำได้

เรียกว่า ของจริง

@ วิปัสสนา คือ การเห็นแจ้งรู้จริง

 เห็นอะไร? ก็เห็นตัวเองนี่เอง

กำลังนั่งอยู่ พูดอยู่ในขณะนี้

เห็นจิตใจมันนึกคิดอยู่เดี๋ยวนี้

อันนี้แหละเป็น "วิปัสสนา" จริงๆ

@ คำว่า "วิปัสสนา" นั้น

เป็นเพียงชื่อเท่านั้นเอง

 แต่ตัวจริงของวิปัสสนานั้น

 ตามตัวหนังสือแปลว่า รู้แจ้ง-รู้จริง

 รู้แล้วต่างเก่าล่วงภาวะเดิม ว่าอย่างนั้น

 ถ้าหากรู้แจ้ง-รู้จริง เราจะไปเสียเวลา

ดูฤกษ์งามยามดีกันทำไม

 จะไปไหว้ผีไหว้เทวดากันทำไม

 ถ้าหากรู้แจ้งรู้จริงแล้ว

ก็ไม่ต้องกลัวใครทั้งหมด

ต้นทางพระนิพพาน...ดับทุกข์

@ การที่เราเห็นความคิดนี่เอง

 เป็นต้นทางพระนิพพานแล้ว

 เมื่อมันคิดวูบขึ้นมา เราก็เห็นปั๊บ

อันกระแสความคิดนี้มันไว

ไวกว่าแสง ไวกว่าเสียง ไวกว่าไฟฟ้า

ไวกว่าอะไรทั้งหมด

เมื่อได้เห็นสมุฏฐานความเร็ว

 ความไวของความคิดแล้ว

 เรียกว่า อรรถบัญญัติ

@ การเห็นการรู้ความคิด

 เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน

การรู้คือการเข้าไปในการคิด

และความคิดก็คงดำเนินต่อไป

 เมื่อเราเห็นความคิด

 เราสามารถหลุดออกมา

จากความคิดนั้นได้

@ เมื่อเราเห็นความคิดในทุกขณะ

 ไม่ว่ามันจะคิดเรื่องใดก็ตาม

 เราเอาชนะมันได้ทุกครั้งไป

 แล้วเราจะมาถึงจุดหนึ่ง

ที่บางสิ่งในภายในจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

@ การทำความรู้สึกตัวนั้น

จึงมีอานิสงส์มาก ถ้าหากไม่รู้สึกตัว

ในขณะไหนเวลาใดแล้ว

เรียกว่าคนหลงตน ลืมตัว

 หลงกายลืมใจ

คล้ายๆ คือเราไม่มีชีวิตนี่เอง

@ ให้ดูใจ เมื่อคิดขึ้นมา เห็น รู้เข้ามา

 ทำความเคลื่อนไหว มันจะวาง วางใจ

มันจะมาอยู่กับความรู้สึก

 เมื่อมาอยู่กับความรู้สึกแล้ว

ปัญญามันจะเกิด

 คนจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะปัญญา

@ ตัวนึกคิดนี่แหละคือสมุทัย

มรรคคือการเอาสติมาดูความคิด

 นี่คือข้อปฏิบัติ

@ ให้เห็นความคิด อย่าไปห้ามความคิด

 และอย่าไปยึดไปถือ ให้ปล่อยมันไป

 นี่คือการเห็นความคิด

 คิดแล้วให้ตัดปุ๊บเลย

 เหมือนการวิดน้ำออกไปจากก้นบ่อ

 ทำอย่างนี้นานๆ เข้า

สติจะเต็มและสมบูรณ์

 คิดปุ๊บเห็นปั๊บ

 อันนี้แหละคือระดับความคิด

 ที่เรียกว่า ปัญญา

ซึ่งเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด

@ แท้จริงแล้วนั้น กิเลสมิได้มีอยู่จริง

 แล้วเราจะไปชนะมันได้อย่างไร

 สิ่งที่เราต้องทำเพียงอย่างเดียวคือ

เราเพียงแต่ดูจิตใจโดยชัดเจน

เผชิญหน้ากับความคิดโดยแจ่มชัด

เมื่อเราเห็นใจอย่างชัดเจน

 โมหะก็จะไม่มีอยู่

@ หลักพุทธศาสนาจริงๆ

สอนให้ละกิเลส คือความอยากนี้เอง

 แต่ตัวที่มันอยาก เรากลับไม่เห็น

ไม่รู้ เราต้องดูจิตดูใจ ให้เข้าใจทันทีว่า

 เออ…กิเลสเกิดขึ้นแล้ว

 ต้องเห็นที่ตรงนี้

@ คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ นั้น

สอนให้เราประพฤติปฏิบัติ

เพื่อทำลายความหลงผิด

ความหลงผิดเกิดขึ้นนั้น ท่านว่าเป็นทุกข์

 ทุกข์เพราะเรามีความโกรธ

ทุกข์เพราะเรามีความโลภ

 ทุกข์เพราะเรามีความหลง

ถ้าเราไม่มีความโกรธ ความโลภ

 ความหลงแล้ว เราก็ไม่ต้องมีทุกข์

 ทำการทำงานอะไรก็ต้องไม่มีทุกข์.

 

แก่นคำสอน

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ


................




ขอบคุณที่มา fb. เจริญสติแนวเคลื่อนไหว
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :01 มกราคม 2560 Last Update :1 มกราคม 2560 6:24:49 น. Counter : 1525 Pageviews. Comments :0