bloggang.com mainmenu search








“รางวัลที่ ๑”

เวลานี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับพวกเราเป็นอย่างมาก

 โดยเฉพาะผู้ที่ปรารถนา การเจริญในทางธรรมะ

ผู้ที่ปรารถนาการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

 เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่ยากต่อการที่จะหาได้

 คือเวลาที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์

และเวลาที่ได้มีพระพุทธศาสนา ปรากฏขึ้นมาบนโลก

เพราะถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาก็จะไม่มีผู้นำทาง

ให้เราได้ไปสู่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

 ถ้ามีพระพุทธศาสนาแต่ถ้าเราไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์

 เราก็จะไม่ได้มีโอกาสที่จะศึกษา ที่จะปฏิบัติ

เพื่อให้ได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

 การที่เราได้มีสิ่งทั้ง ๒ สิ่งนี้คือได้มาเกิดเป็นมนุษย์

 และได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

 จึงเป็นโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ยากมาก

ยากกว่าการถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑

 และรางวัลที่เราจะได้รับจากการได้มาเกิดเป็นมนุษย์

ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

 ก็มีคุณค่ามากกว่าเงินรางวัลที่ ๑

 อีก หลายร้อยหลายล้านเท่าด้วยกัน

 เพราะรางวัลที่เราจะได้รับจากการได้มาเกิดเป็นมนุษย์

ได้มาพบกับ พระพุทธศาสนานี้

จะทำให้เราได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ที่สัตว์โลกทั้งหลายในไตรภพจะสามารถรับได้

นั่นก็คือมรรคผล นิพพาน

คือมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

ตอนนี้มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นี้เป็นของเราแล้ว

 อยู่ที่ว่าเราจะไปรับรางวัลนี้หรือไม่

 เหมือนกับเราได้ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ แล้ว

อยู่ที่ว่าเราจะไปขึ้นรางวัลหรือไม่

ถ้าเราไม่ไปขึ้นรางวัล ลอตเตอรี่ที่เราถูกนี้

ก็เป็นเพียงเศษกระดาษเป็นชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง

 ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา

 แต่ถ้าเราเดินทางไปขึ้นรางวัล

 เราก็จะได้รับรางวัล

มีมูลค่าหลายล้านบาทด้วยกัน ฉันใด

การที่เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์

ได้มาพบกับพระพุทธศาสนานี้

ก็เรียกว่าเราได้ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑

ทางจิตวิญญาณทางจิตใจแล้ว

รางวัลที่เราจะได้รับก็คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

แต่เราต้องเดินทางไปรับรางวัล

การได้พบกับพระพุทธศาสนา

การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ยังไม่ได้รับรางวัล

 แต่เป็นการมีสิทธิที่จะไปรับรางวัลได้

ถ้าเราทำตามเงื่อนไขของการรับรางวัล

เงื่อนไขของการรับรางวัลก็คือเราต้องเจริญมรรค

 คือทางที่จะพาให้เราไปสู่ผล

คือมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

มรรคที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเราหมั่นเจริญกัน

 ให้มากๆก็คือทาน ศีล ภาวนานี่เอง

 ถ้าเราได้เจริญทาน ศีล ภาวนาแล้ว

 ผลก็จะปรากฏขึ้นมาตามลำดับ

คือมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน

มรรค ๔ นี้ก็มีโสดาปฏิมรรค สกิทาคามีมรรค

อนาคามีมรรค อรหันตมรรค

 ผล ๔ ก็คือโสดาปฏิผล สกิทาคามีผล

อนาคามีผล อรหันตผล

 แล้วก็รางวัลชิ้นสุดท้ายก็คือพระนิพพาน

รางวัลเหล่านี้อยู่ในเอื้อมมือของเราแล้ว

 ถ้าเราทำทาน เรารักษาศีล เราภาวนาได้

รางวัลเหล่านี้ก็จะปรากฏขึ้นมาตามลำดับอย่างแน่นอน

 เพราะมีผู้ที่ได้ไปรับรางวัลนี้มาแล้วกันจำนวนมาก

 นับตั้งแต่วันแรกที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศ

 พระธรรมคำสอน ก็คือเป็นเหมือนกับออกลอตเตอรี่

บอกหมายเลขของรางวัลที่ ๑

 ผู้ใดมีลอตเตอรี่หมายเลขนี้ ก็มาขึ้นรางวัลได้เลย

 คือผู้ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์

และได้มาพบพระพุทธศาสนามีศรัทธา

 มีความเชื่อในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ก็สามารถมารับรางวัลนี้ได้เลย ด้วยการมาทำทาน

ด้วยการมารักษาศีล ด้วยการมาภาวนา

นี่ก็คือโอกาสอันเลิศอันประเสริฐ

ที่มีวันที่จะหมดไปเหมือนกับรางวัลที่ ๑

ที่เขาก็มีกำหนดระยะเวลาให้ไปขึ้นรางวัล

ให้ไปขึ้นภายในระยะเวลาเท่านั้นเท่านี้

 ถ้าเวลาผ่านไปแล้ว ก็จะไม่สามารถไปขึ้นรางวัลได้อีก

การขึ้นรางวัลของพวกเรา การขึ้นรางวัลของ

มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ก็มีเวลาเหมือนกัน

 ก็คือถ้าตราบใด เรายังมีชีวิตอยู่ตราบนั้น

เราก็ยังสามารถที่จะไปขึ้นรางวัลได้

 แต่ถ้าเวลาใดที่เราสิ้นชีวิตไปแล้ว ตายไปแล้ว

เราก็จะหมดสิทธิ์ที่จะไปขึ้นรางวัล

 และวันเวลาของพวกเราก็จะสั้นลงไปเรื่อยๆ

 ชีวิตของพวกเราจะน้อยลง ไปเรื่อยๆ

ถ้าเราไม่รีบขวนขวายไม่รีบเร่งทำทาน

 รักษาศีล ภาวนา

 เดี๋ยวอาจจะหมดเวลาไปอย่างที่ไม่คาดฝันก็ได้

เพราะชีวิตของเราแต่ละคนนี้

ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า

 จะอยู่ถึงอายุเท่าไร บางคนอาจจะอยู่ถึง ๑๐๐

 บางคนก็ ๙๐ ปี บางคนก็ ๘๐ ปี บางคนก็ ๗๐ ปี

 ๖๐ ปี ๕๐ ปี ๑๐ ปี ๓๐ ปี ๒๐ ปี

หรือแม่แต่ ๑ วันหรือ ๑ ชั่วโมงก็มี

เพราะชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท

จงรีบทำกิจที่พึงกระทำให้เสร็จลุล่วงไป

ก็คือการไป ขึ้นรางวัลนี่เอง ด้วยการทำทาน

ด้วยการรักษาศีล ด้วยการภาวนา

 การที่เราจะไม่ประมาทนี้ทำอย่างไร

พระพุทธเจ้าทรงสอนพระอานนท์ว่า

ให้ระลึกถึงความตายอยู่เรื่อยๆ

 ถ้าระลึกได้ทุกลมหายใจเข้าออกได้เลยยิ่งดี

 เพราะถ้าเราได้ระลึกถึงความตาย

รู้ว่าเราจะต้องตายไปเวลาใดเวลาหนึ่ง

เราจะได้ไม่ประมาทนอนใจนั่นเอง

เราจะได้รีบขวนขวายไปขึ้นรางวัล

 ไปขึ้นมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ กัน

ไม่มัวหลงอยู่กับสิ่งที่ไม่เป็นคุณ

ไม่เป็นประโยชน์แก่จิตใจ

 เป็นคุณเป็นประโยชน์กับกิเลสตัณหา

คือตอบสนองความอยากความต้องการต่างๆ

ของกิเลสตัณหา

 แต่ไม่ได้เป็นการสร้างมรรคผล นิพพานขึ้นมา

 กลับเป็นการสร้างความทุกข์

ให้มีเพิ่มมากขึ้น ไปตามลำดับ

ถ้าพวกเรายังไปแสวงหาลาภยศ สรรเสริญ

 หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกันอยู่

ก็แสดงว่าพวกเรา กำลังไม่ได้ทำ

ภารกิจที่เราควรจะกระทำกัน

 แทนที่จะทำทาน รักษาศีล ภาวนา

 เรากลับไปหาลาภยศ สรรเสริญ

 หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน

แล้วผลก็จะเป็นผลที่พวกเราจะต้องเสียอกเสียใจ

ร้องห่มร้องไห้กัน เพราะลาภยศ สรรเสริญ

 และความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายนี้

จะต้องมีวันเสื่อมไป

มีวันหมดไป มีเจริญลาภ เจริญยศ

 เจริญสรรเสริญ เจริญสุข

ก็ต้องมีวันที่จะต้องเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมสรรเสริญ

ได้นินทา เสื่อมสุขได้ความทุกข์

เพราะนี่เป็นธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้

 เขาเป็นของที่ไม่ถาวรไม่เที่ยงแท้แน่นอน

 มีการเจริญและมีการเสื่อม

เวลาเจริญก็เป็นเวลาสนุกสนาน

 แต่เวลาที่เสื่อมก็เป็นเวลที่เศร้าโศกเสียใจ

ถ้าเสื่อมมากๆก็อาจจะถึงขั้นที่ไม่อยากจะอยู่ต่อไป

ถึงกลับต้องทำลายชีวิตของตนเองไป

การได้มาเกิดเป็นมนุษย์การได้มาพบพระพุทธศาสนา

ก็จะไร้ประโยชน์ เหมือนกับการถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑

 แต่ไม่ไปขึ้นรางวัล ก็กลายเป็นกระดาษชิ้นเล็กๆไป

ใบหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่มีประโยชน์อะไร

แต่ถ้าเราหมั่นเตือน เราอยู่เรื่อยๆ

ระลึกถึงความตายอยู่เรื่อยๆ ว่าชีวิตของเรานี้

ไม่มีใครมารับประกันได้ว่าจะอยู่ถึงเมื่อไหร่

 ถ้าเราระลึกอย่างนี้เราก็จะได้รีบขวนขวาย

ตักตวงมรรคผล นิพพานกัน

 เหมือนกับเวลาที่คนเขาไปหาหมอ

แล้วหมอก็บอกว่าเขาเป็นโรคมะเร็งขั้นสุดท้าย

ไม่สามารถที่จะรักษาให้หายได้

เหลือเวลาอีก ๓ เดือน ๖ เดือน ก็จะต้องจากโลกนี้ไป

 เวลานั้นเขาจะไม่มีความอยาก

ที่จะไปหาลาภยศ สรรเสริญ

หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายเลย

แต่เขาอยากจะไปทำทาน อยากจะไปรักษาศีล

 อยากจะไปภาวนา เพราะจะได้ทำให้เขาได้รับรางวัล

ที่จะเป็นที่พึ่งของใจได้ เป็นที่ดับความทุกข์ใจ

ที่กำลังเกิดขึ้นได้ คนเราเวลารู้ว่า

ตนเองจะต้องตายไปนั้น

เป็นเวลาที่มีความทุกข์มาก

 ถ้าไม่มีมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

 มาคอยคุ้มคอยปกป้องรักษาใจ

แต่ถ้ามีมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

 เวลารู้ว่าตนเองจะต้องตายนี้

 จะไม่รู้สึกเดือดร้อนแต่อย่างใด

เหมือนกับคนที่มีเสื้อเกราะหุ้มไว้

เวลาถูกกระสุนปืนยิงก็จะไม่รู้สึกเจ็บ แต่อย่างใด

 เพราะว่ากระสุนไม่เข้าไปถึงตัวของร่างกายได้

 ถูกเกราะกันกระสุนป้องกันเอาไว้ ฉันใด

 มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นี้

ก็เป็นเหมือนเกราะคุ้มครองจิตใจ

 ที่จะป้องกันไม่ให้ความทุกข์ที่เกิดจากความแก่

 ความเจ็บ ความตายของร่างกาย

เข้ามาสร้างความทุกข์ความวุ่นวายใจให้กับใจได้เลย.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๗

“รางวัลของการปฏิบัติธรรม”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :26 สิงหาคม 2559 Last Update :26 สิงหาคม 2559 11:10:04 น. Counter : 650 Pageviews. Comments :0