bloggang.com mainmenu search









“ขอให้ตั้งอธิษฐานว่า

จะเจริญสติตั้งแต่ตื่นจนหลับ”

การเจริญสตินี่ไม่ยากหรอก ขอให้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า

ต่อไปนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนหลับ จะเจริญสติตลอดเวลา

 ถ้าควบคุมให้รู้อยู่กับการกระทำของร่างกายไม่ได้

 จะไปคิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ ก็ใช้การบริกรรมพุทโธ

 หรือจะท่องเที่ยวอยู่ในร่างกายก็ได้

พิจารณาอาการ ๓๒ ไป ว่าร่างกายมีผม มีขน มีเล็บ มีฟัน

 มีหนัง มีเนื้อ มีเอ็น มีกระดูก มีเยื่อในกระดูก

 มีม้าม หัวใจ ตับ ไต พังผืด ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย

อาหารใหม่ อาหารเก่า เยื่อในสมองศีรษะ ฯลฯ

หรือจะพิจารณาอนาคตของร่างกายก็ได้

 คือความเจ็บไข้ได้ป่วยและความตาย

ที่จะต้องตามมาอย่างแน่นอน

พอตายไปแล้วก็ต้องเข้าไปในโลง

 บำเพ็ญกุศลอยู่ ๓ วัน ๗ วัน แล้วก็เข้าเตาเผาต่อไป

 ตอนเช้าก็เก็บกระดูกเก็บขี้เถ้า นี่คืออนาคตของร่างกาย

จะต้องเป็นอย่างนี้ทุกคน ให้พิจารณาจนติดตาติดใจ

 หรือจะพิจารณาดูความเป็นธาตุของร่างกายก็ได้

ว่าร่างกายมาจากดินน้ำลมไฟ

ในรูปของอาหารที่รับประทานเข้าไป

ต้นข้าวต้นผักต้องมีดิน มีน้ำ มีอากาศ มีไฟคือความร้อน

 ถึงเจริญเติบโตได้ พอรับประทานผัก รับประทานข้าว

 ดื่มน้ำเข้าไป ก็แปลงเป็นผมขนเล็บ เป็นฟันอาการ ๓๒

พอร่างกายตายไป ธาตุทั้ง ๔ ก็แยกออกจากกัน

น้ำก็แยกไปทางหนึ่ง ลมก็ไปทางหนื่ง

 ไฟก็ไปทางหนึ่ง ดินก็ไปทางหนึ่ง ร่างกายก็มีเท่านี้

ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ไม่มีตัวไม่มีตน

เป็นเพียงดินน้ำลมไฟ นี่ก็อยู่ในกายคตาสติปัฏฐาน

 คือการตั้งสติที่ร่างกาย จะดูการเคลื่อนไหวของร่างกายก็ได้

 กำลังเดินก็รู้ว่ากำลังเดิน กำลังอาบน้ำก็รู้ว่ากำลังอาบน้ำ

 ถ้าไม่ยอมรู้อยู่ที่ร่างกาย จะไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้

 ก็จะใช้การบริกรรมพุทโธดึงไว้ก็ได้

ทำอะไรไปก็บริกรรมพุทโธๆไป ไม่ให้ไปคิดเรื่องอื่น

ให้คิดแต่คำว่าพุทโธๆ เวลานั่งสมาธิก็จะอยู่กับพุทโธ

 หรืออยู่กับลมหายใจ จะสงบได้อย่างรวดเร็ว

การเจริญสติเป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่ง

ถ้าไม่มีสติธรรมอย่างอื่นก็จะไม่เกิดขึ้น สมาธิก็จะไม่เกิด

 ปัญญาก็จะไม่เกิด เพราะจะไม่สามารถพิจารณาปัญญาได้

 กิเลสจะดึงความคิดไป แทนที่จะคิดให้ปล่อยวาง

กลับคิดให้สะสมมากขึ้น ให้ยึดติดมากขึ้น

 เพราะคิดว่าจะมีความมั่นคงมากขึ้น

ให้หาเงินให้มากๆเพื่อจะได้มีความมั่นคง

ก็จะไม่มีทางคิดทางปัญญาได้

คนที่มีความมั่นคงทางจิตใจมักจะไม่มีเงินทอง

 พระพุทธเจ้าไม่มีเงินทอง ครูบาอาจารย์ไม่มีเงินทอง

 แต่ท่านมีความมั่นคงทางจิตใจ

ไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว

 ไม่มีปัญหา เพราะจิตเป็นอุเบกขาตลอดเวลา

 ไม่ดีใจไม่เสียใจ มีแต่พอใจ คนชมก็พอใจ คนด่าก็พอใจ

เพราะใจไม่ไปรับ จะว่าอย่างไรก็ปล่อยเป็นเรื่องของเขา

ไม่ใช่เรื่องของเรา ใจเป็นเหมือนคนดู ก็ดูไป

คนแสดงจะแสดงอย่างไรก็ปล่อยเขาแสดงไป

จะแสดงบทโหดก็ปล่อยเขาแสดงไป

จะแสดงบทเมตตาก็ปล่อยเขาแสดงไป

ไม่เกี่ยวกับเรา เราเป็นคนดู ไม่ได้ไม่เสียกับการแสดงของเขา

อย่าไปฝากความหวังความมั่นคงกับสิ่งต่างๆภายนอก

ไม่ใช่ที่พึ่งของเรา เราพึ่งเขาไม่ได้ต่อให้มั่นคงขนาดไหน

 ต้องเสื่อมและดับไป สิ่งที่ไม่เสื่อมไม่ดับ

ก็คือธรรมะที่อยู่ในใจของเรา ต่อให้โลกนี้ระเบิดเป็นเสี่ยงๆไป

 ใจของพวกเราก็จะไม่ได้ระเบิดไปกับโลกนี้

มีแต่ร่างกายที่จะระเบิดไปด้วย

 ใจของพวกเราก็ไปตามบุญตามกรรมต่อไป

 นอกจากโลกนี้แล้ว ก็มีโลกอื่นให้มนุษย์เกิดได้

 ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีพระพุทธเจ้ามาประสูติ

มาตรัสรู้มาสอนธรรม ให้แก่สัตว์โลก

เป็นกัปเป็นกัลป์ได้อย่างไร

 โลกนี้ไม่ได้มีอายุยืนยาวนานมาเป็นกัปเป็นกัลป์

 แสดงว่าต้องมีโลกอื่นที่มีมนุษย์อยู่ได้

 แต่เราไม่สามารถติดต่อกันได้เท่านั้นเอง

แต่จิตนี้สามารถไปถึงโลกอื่นได้อย่างรวดเร็ว

เพราะจิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับความกว้างความยาวหรือระยะทาง

 จิตไปด้วยกระแสของความรู้

ทรงตรัสว่าเพียงแต่ยื่นแขนออกไปก็ถึงแล้ว

เพียงคิดก็ถึงแล้ว คิดถึงกรุงเทพฯก็ถึงแล้ว

จิตไปถึงแล้ว แต่ร่างกายต้องใช้เวลาอีก ๒ ชั่วโมงกว่าจะไปถึง

 ถ้ามีญาณหยั่งรู้วาระจิตของผู้อื่นได้

 ก็จะรู้ว่าตอนนี้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ

เรื่องของจิตจึงเป็นเรื่องที่ลึกลับ

 ถ้าไม่ศึกษาไม่ปฏิบัติก็จะไม่รู้

เพราะหลงยึดติดกับร่างกาย ที่ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย

 ว่าเป็นตัวเราของเรา ก็เลยว่าจิตเป็นสิ่งที่วิเศษ

ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย แต่ถูกความหลงหลอก

ให้ไปยึดติดกับร่างกาย พอร่างกายเป็นอะไรจิตก็เป็นไปด้วย

 มีนิทานในสมัยพุทธกาล มีคนเลี้ยงม้าคนหนึ่งขาไม่ดี

ขาเป๋ เดินกะเผลกๆ ม้าที่เลี้ยงก็เดินกะเผลกตามคนเลี้ยง

ทั้งๆที่ขาม้าไม่ได้เป็นอะไร

จิตเราก็เหมือนกัน พอได้ร่างกายมาครอบครอง

ก็หลงคิดว่าร่างกายเป็นจิต

 พอร่างกายเป็นอะไรก็เป็นตามร่างกายไป

 ร่างกายแก่ก็แก่ตาม ร่างกายเจ็บก็เจ็บตาม

เพราะไม่มีปัญญาแยกแยะจิตออกจากร่างกาย

 ไม่รู้ว่าร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔ เป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง

 ที่เกิดแก่เจ็บตาย ส่วนจิตเป็นผู้รู้ เป็นผู้ที่มีความรู้สึกนึกคิด

 ผู้สั่งให้ร่างกายทำอะไรต่างๆ จะลุกขึ้นได้

 จิตต้องสั่งก่อน ว่าจะลุกถึงจะลุกได้

จะเดินจิตก็ต้องสั่ง จะมาที่นี่ได้จิตก็ต้องสั่งไว้ก่อน

 ว่าวันนี้จะมาที่นี่ พอถึงเวลาก็ออกเดินทางมากัน

 ร่างกายไม่รู้เรื่อง ร่างกายเป็นผู้ทำตามคำสั่งของจิต

พวกเราต้องศึกษาร่างกายกับจิต แยกให้ออกจากกัน

 อย่าให้เป็นคนเดียวกัน เพราะเป็นคนละคนกัน

ใจเป็นเจ้าของร่างกาย ที่เป็นสมบัติชั่วคราว

 ที่จะต้องหมดสภาพไป ถ้าใจต้องอาศัยร่างกายทำประโยชน์

 ก็ต้องรีบทำอย่างเต็มที่ คือปฏิบัติธรรมให้เต็มที่

เจริญสติให้เต็มที่ พอทำงานนี้เสร็จแล้ว

ร่างกายจะเป็นอะไรก็จะไม่เป็นปัญหา

 ถ้าปฏิบัติไม่เสร็จแล้วร่างกายตายไป

 ก็ต้องรอให้ได้ร่างกายอันใหม่ ถึงจะปฏิบัติต่อได้

 ก็จะเสียเวลาไป จึงควรเจริญมรณานุสติอยู่เรื่อยๆ

 ว่าเกิดมาแล้วต้องตายเป็นธรรมดา จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

 จะตายวันนี้ก็ได้ ตายพรุ่งนี้ก็ได้

อีกสิบปีหรือยี่สิบปีข้างหน้าก็ได้ ไม่มีใครรู้

ถ้าจะไม่ประมาท ก็ต้องคิดว่าอาจจะต้องตายในวันนี้

 ถ้าคิดอย่างนี้เวลาไม่สบายไปหาหมอ

พอหมอบอกว่าเหลืออีก ๓ เดือน ก็จะดีใจ

 เพราะคิดว่าจะตายวันนี้ แต่หมอให้ตั้ง ๓ เดือน

ถ้าไม่คิดอย่างนี้ พอหมอบอกว่าเหลือ ๓ เดือน

ก็จะหมดกำลังใจ วันก่อนก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาบอกว่า

 หมอบอกว่าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย เหลืออีกไม่กี่เดือน

 จะให้ทำอย่างไร เราก็บอกให้รีบปฏิบัติธรรมให้มากที่สุด

ตอนนี้ไม่ต้องไปคิดถึงความตายแล้ว เพราะรู้อยู่ตลอดเวลา

 ถ้าไปคิดก็จะไม่มีกำลังใจปฏิบัติ ต้องลืมเรื่องความตาย

ให้พุ่งไปที่การปฏิบัติธรรมให้มากที่สุด

 เจริญสตินั่งสมาธิเจริญปัญญาให้มากที่สุด

ถ้าไม่เห็นความตายก็จะไม่รีบขวนขวาย

จึงต้องอยู่ใกล้เหตุการณ์จริง

จะได้กระตือรือร้นปฏิบัติและบรรลุธรรมได้

อย่างพระราชบิดา ก็ทรงบรรลุ ๗ วันก่อนเสด็จสวรรคต

เพราะเห็นความจริง เห็นความตาย

 กิเลสที่อยากจะอยู่ก็จะหายไป

เพราะรู้ว่าอยากอย่างไรก็อยู่ไม่ได้

 ก็เลยไม่มีกิเลสมาคอยขัดขวาง ไม่ให้ตั้งใจปฏิบัติ

ความห่วงใยความกังวล กับเรื่องสมบัติข้าวของเงินทอง

 กับบุคคลต่างๆ ตอนนั้นไม่สนใจแล้ว

สนใจอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ทุกข์กับความตาย

ที่จะตามมาในระยะอันใกล้นี้

ถ้ามีคนสอนวิธีให้ทำจิตให้สงบ ก็จะทำได้อย่างรวดเร็ว

 พอจิตสงบแล้วร่างกายจะเป็นอะไรก็จะไม่เดือดร้อน

 ต้องไปดูศพไปงานศพอยู่เรื่อยๆ

ไปอยู่ในสถานที่ที่ท้าทายกับความเป็นความตาย

 ก็จะทำให้ไม่ประมาท จะรีบขวนขวาย

 จะเห็นว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่มีความหมายเลย

 ช่วยไม่ได้เลยเวลาใกล้เป็นใกล้ตาย

สมบัติเงินทองต่างๆช่วยไม่ได้เลย

 มีแต่การปฏิบัติธรรมเท่านั้นที่จะช่วยได้

ถ้ามีสติมีสมาธิมีปัญญา ก็เหมือนมีอาวุธไว้ต่อสู้กับศัตรู

ที่จะสร้างความทุกข์ต่างๆให้เกิดขึ้นตอนใกล้ตาย

จะไม่หวั่นไหวเดือดร้อน จะปล่อยวางร่างกาย ใจก็จะสงบ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

กัณฑ์ที่ ๔๒๗ วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๔

 (จุลธรรมนำใจ ๒๖)

“หลักของสติ”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :04 สิงหาคม 2559 Last Update :4 สิงหาคม 2559 10:33:25 น. Counter : 937 Pageviews. Comments :0