bloggang.com mainmenu search









“การศึกษาและเจริญมรรค ๘”

ขอให้เราทุ่มเทชีวิตจิตใจของเรา

ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์นี้มาศึกษาและมาปฏิบัติ

มาสร้างมรรค ๘ กัน

เพราะถ้าไม่ได้เป็นมนุษย์นี้จะไม่มีความสามารถ

ที่จะสร้างมรรค ๘ นี้ขึ้นมาได้

ถ้าเป็นเดรัจฉานก็จะไม่เข้าใจภาษาของมนุษย์

ไม่เข้าใจภาษาคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ถึงแม้จะมีพระพุทธศาสนาแต่ก็จะไม่มีความสามารถ

 ที่จะเข้าถึงพระธรรมคำสอนได้

 ต้องเป็นมนุษย์ที่สามารถที่จะศึกษา

มีความเข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนาได้

 พวกเราเป็นมนุษย์แล้วพวกเราก็ได้มีโอกาส

ที่ได้มาสัมผัสรับรู้กับคำสอนของพระพุทธศาสนาแล้ว

 เราจึงไม่ควรที่จะปล่อยโอกาสอันดีนี้ให้หลุดมือไป

ควรจะตักตวงโอกาสนี้ให้ได้อย่างเต็มที่

ด้วยการทุ่มเท ชีวิตจิตใจของพวกเรา

ให้กับการศึกษามรรค ๘ ให้กับการปฏิบัติมรรค ๘

 เพราะผลที่เราจะได้รับนี้ก็คือ บ้านที่ถาวร

เราไม่ต้องไปย้ายบ้านอยู่เรื่อยๆ

 เหมือนอย่างที่เรากำลังทำกันอยู่ในขณะนี้

ถ้าเรายังไม่สามารถ สร้างบ้านที่ถาวรได้

 หลังจากที่ร่างกายนี้ตายไปแล้ว

เราก็ต้องไปหาร่างกายใหม่

 ไปสร้างร่างกายใหม่ต่อ

 แล้วก็พอร่างกายแก่ เจ็บ ตายไป

ก็ต้องไปสร้างร่างกายใหม่อยู่เรื่อยๆ

ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญต่อการสร้างมรรค ๘

ถ้าเราทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการสร้างมรรค ๘

 ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ ในขณะนี้

เราจะสามารถสร้างบ้านที่ถาวร ให้เสร็จได้

ในเวลาอันไม่นานจนเกินไป

 คือสามารถสร้างบ้านที่ถาวรได้ในภพนี้ชาตินี้เลย

 เพราะมีผู้ที่สามารถทำกันได้มาแล้วมีเป็นจำนวนมาก

นั่นก็คือพระอรหันตสาวกทั้งหลายนั่นเอง

 ท่านเหล่านี้พอได้ยินได้ฟังได้ศึกษามรรค ๘

ก็น้อมนำเอาไปปฏิบัติกัน

สร้างมรรค ๘ กันอย่างขะมักเขม้น

ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการสร้างมรรค ๘

 ท่านจึงสามารถสร้างบ้านที่ถาวร

คือพระนิพพานได้ภายในชาตินี้

พวกเราก็สามารถที่จะสร้างมรรค ๘ นี้

 สร้างบ้านที่ถาวรนี้ได้เช่นเดียวกัน

 เพราะท่านเหล่านั้นกับเรา ก็ไม่มีความแตกต่างกัน

 ท่านก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา

ตอนที่ยังไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนา

 พอได้พบกับพระพุทธศาสนาแล้วก็มีศรัทธาความเชื่อ

มีความเลื่อมใส ที่จะปฏิบัติตาม

 พอปฏิบัติตามแล้ว ผลก็คือบ้านที่ถาวร

คือพระนิพพานก็จะปรากฏขึ้นมา

พวกเราก็เช่นเดียวกัน ถ้ามีศรัทธามีความเลื่อมใส

ในการที่จะปฏิบัติการสร้างมรรค ๘ ขึ้นมา

เราก็จะสามารถ ได้บ้านถาวรคือพระนิพพานได้

ในชาตินี้เช่นเดียวกัน

ดังนั้นเราจึงต้องมาสร้างมรรค ๘ กัน

 มรรคข้อที่ ๑. สัมมาทิฏฐิ

 ความเห็นชอบความเห็นที่ถูกต้อง

 ก็คือเห็นตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

 ทรงรู้ทรงเห็นนั่นเอง

 เรายังมีความเห็นที่ไม่ถูกต้อง

 เรายังไม่รู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น

 เราจึงต้องน้อมเอาคำสอน ของพระพุทธเจ้า

มาสอนเราเพื่อให้เราจะได้มีความเห็น

เช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้ให้เราเห็น

ก็บาปมีจริงบุญมีจริง ผลของบาปคือนรกก็คือจริง

 ผลของบุญคือสวรรค์ก็มีจริง

 ตายแล้วต้องไปเกิดใหม่ก็เป็นความจริง

 การเวียนว่ายตายนี้เกิดเป็นความจริง

 และการยุติการสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิด

ก็เป็นความจริงเหมือนกัน

 นี่สิ่งแรกที่เราต้องมีความเห็น ในแนวนี้ให้ได้

 ถ้าเรายังไม่เห็นเอง

เราก็ต้องเชื่อความเห็นของผู้ที่เห็นแล้ว

 เช่นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า

ทำบาปแล้วจะต้องไปนรก เราก็ต้องเชื่อ

ทำบุญแล้วจะได้ไปสวรรค์เราก็จะต้องเชื่อ

ตายแล้วก็ไปเกิดใหม่ เราก็ต้องเชื่อ

 ถ้าอยากที่จะไม่ไปเกิดใหม่หลังจากที่ตายแล้ว

 ก็ต้องสร้างมรรค ๘ ขึ้นมาให้ได้

 เพราะถ้ามีมรรค ๘ แล้วก็จะสามารถหยุด

การเวียนว่ายตายเกิดได้ ไปถึงพระนิพพานได้

นี่คือสัมมาทิฏฐิที่เราจะต้องสร้างขึ้นมาในใจ

ในเบื้องต้นก็ต้องสร้างด้วยการอาศัยศรัทธาความเชื่อ

 พวกเราตอนนี้เป็นเหมือนคนที่ปิดตาอยู่

มีผ้ามัดปิดตาพวกเราอยู่ทำให้เรา

ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ

เหมือนคนที่ไม่มีผ้าปิดตาเห็นได้

พระพุทธเจ้าเป็นเหมือนคนที่ถอดผ้าปิดตาออกแล้ว

 ลืมตาขึ้นมา สาสามารถเห็นสิ่งต่างๆ

 รอบตัวของพระพุทธเจ้าได้

พวกเรานี้ยังไม่ได้เอาผ้าปิดตาออก

เราจึงมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงเห็น

เราจึงต้องอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นผู้บอกทาง

คือต้องเชื่อพระพุทธเจ้า

 พระพุทธเจ้าทรงห้าม ไม่ให้ทำบาป

ทรงให้ทำบุญทรงให้กำจัดความอยากต่างๆ

ที่เป็นต้นเหตุของการเวียนว่ายตายเกิด

เราก็ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า

 นี่คือการสร้างสัมมาทิฏฐิขึ้นมา

 สร้างด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรม

ศึกษาธรรมะคำสอน ของพระพุทธเจ้าไปเรื่อยๆ

แล้วคำสอนเหล่านี้ก็จะค่อยๆฝังตัว

เข้าไปในความรู้สึกนึกคิดของเราแล้วต่อมา

 เราก็จะได้มีสัมมาสังกัปโปคือมรรค ขั้นที่ ๒

คือความคิดที่ถูกต้อง ถ้าเรามีความเห็นที่ถูกต้อง

ว่าบาปมีจริง บุญมีจริง นรกสวรรค์มีจริง

การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง

การยุติของการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง

เราก็จะคิดไปในทางการไม่ทำบาป

 เพราะเราไม่อยากจะไปนรกกัน

 เราก็จะคิดที่จะทำบุญ เราก็จะไปสวรรค์

เพราะเราอยากจะไปสวรรค์กัน

ไม่มีใครอยากจะไปนรกกัน

แล้วเราก็จะหยุดความอยากด้วยการปฏิบัติมรรค ๘

เพราะถ้าเรามีมรรค ๘ เราก็จะมีเครื่องมือ

ที่จะหยุดความอยาก พอเราหยุดความอยากได้

เราก็จะไม่ต้องไป เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

 นี่คือสัมมาสังกัปโปความคิดที่ถูกต้อง

ขอให้เราคิดแบบนี้

 คิดทำบุญ คิดละบาป คิดกำจัดความอยากต่างๆ

 ด้วยการเจริญมรรค ๘ เจริญสัมมาทิฏฐิ

 สัมมาสังกัปโป สัมมากัมมันโต สัมมาวาจา

 สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

 พอเรามีสัมมาสังกัปโป ความคิดที่ถูกต้องแล้ว

 เราก็จะสั่งให้ร่างกายกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง

ก็คือเราจะมีสัมมากัมมันโต คือจะไม่ฆ่าสัตว์

 จะไม่ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี

นี่คือองค์ประกอบของสัมมากัมมันโต

คือจะละจากการกระทำบาปทางกาย

 แล้วก็จะละการกระทำบาปทางวาจา

ก็คือจะละเว้นจากการพูดปดมดเท็จ

พูดเพ้อเจ้อพูดส่อเสียดพูดคำหยาบ

 นี่เรียกว่าสัมมาวาจา การพูดที่ถูกต้อง

 สัมมากัมมันโต การกระทำที่ถูกต้อง

ก็คือการไม่ฆ่าไม่ลักทรัพย์

ไม่ประพฤติผิดประเวณี

เรียกว่าสัมมากัมมันโต

ถ้าเรามีสัมมาสังกัปโปความคิดที่ถูกต้อง

เราก็จะคิดไปในทางนี้ คิดไปในการไม่ทำบาป

คิดในการไม่พูดบาป

แล้วเราก็จะคิดไปในทาง

ที่จะทำมาหากินด้วยอาชีพที่สุจริต

 ที่เรียกว่าสัมมาชีพ สัมมาชีพก็คือ

อาชีพที่ไม่เกี่ยวกับการฆ่า

 ไม่เกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้า

ที่จะเอาไปใช้ ในการฆ่าผู้อื่น

 ทำร้ายผู้อื่น เช่นศาสตราวุธทั้งหลาย

 ยาพิษทั้งหลาย จะไม่ทำมาหากิน

บนความทุกข์ของผู้อื่น

 ไม่เอาเขามาฆ่า เช่นฆ่าเป็ดฆ่าไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควาย

 อาชีพเหล่านี้จะไม่กระทำสำหรับผู้มีสัมมาทิฏฐิ

 สัมมาสังกัปโป จะละเว้นอาชีพ

ที่ไม่เกี่ยวกับชีวิตของผู้อื่น

อาชีพที่ไม่ไปทำลายไม่ไปสร้างความทุกข์

สร้างความเดือดร้อนของผู้อื่นก็มีอยู่เยอะแยะ

ที่เราสามารถทำได้ เช่นอาชีพรักษาพยาบาล

อาชีพครูสั่งสอน

อาชีพการเงินการทองการธนาคาร

การค้าขายอะไรต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับชีวิต

หรือความเป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้อื่น

ก็ถือว่าเป็นอาชีพที่ถูกต้อง

 สัมมาชีพ แล้วก็มีสัมมาวายาโม

 คือจะมีความขยันหมั่นเพียรในการทำบุญ

ขยันหมั่นเพียรในการละการกระทำบาป

ขยันหมั่นเพียรในการตัดความอยากต่างๆ

 ให้หมดไปจากใจด้วยการเจริญสัมมาสติ

เพราะว่าสัมมาสติ และสัมมาสมาธิ

จะเป็นเครื่องมือที่จะช่วย

ให้สามารถทำลายความอยากต่างๆ

ที่มีอยู่ภายในใจให้หมดไปได้

สัมมาสติก็คือการให้มีสติอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

เพียงเรื่องเดียว เพื่อระงับความคิดปรุงเเต่งต่างๆ

 เพื่อระงับการลอยไปลอยมาของใจ

 ให้ใจนี้เป็นสัมมาสมาธิก็คือให้ตั้งอยู่ในปัจจุบัน

 ถ้าใจยังไปอดีตไปอนาคตอยู่ ใจจะไม่ตั้งมั่น

จะไม่เป็นสมาธิใจ ใจจะลอยไปลอยมา

เพราะไม่มีสติคอยดึงเอาไว้

 เราจึงต้องใช้สติคอยดึงใจ

 ให้อยู่กับเรื่องเดียว เช่นให้อยู่กับพุทโธๆ ไป

หรือให้อยู่กับการเฝ้าดูร่างกาย

ดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย

 ไม่ว่าร่างกายกำลังทำอะไร

ใจก็ให้อยู่กับการเคลื่อนไหว

การกระทำของร่างกายเพียงอย่างเดียว

 ไม่ให้ไปคิดถึงเรื่องอื่น

ในขณะที่ร่างกายกำลังเคลื่อนไหวกำลังทำอะไรอยู่

 เช่นกำลังเดินก็ให้อยู่กับการเดิน

ให้อยู่กับการก้าวเท้าซ้ายเท้าขวาไป

เวลาเดินก้าวเท้าซ้ายก็บริกรรมซ้ายไป

เวลาก้าวเท้าขวาก็บริกรรมขวาไป ซ้ายขวาๆไป

 เพื่อที่จะได้ดึงใจเอาไว้ไม่ให้ไปคิดถึง

เรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต

หรือเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต

เพื่อใจจะได้อยู่ในปัจจุบัน

เพราะถ้าใจตั้งอยู่ในปัจจุบัน

ก็ถือว่ามีสัมมาสมาธิใจจะสงบ

ใจจะสงบได้ ใจต้องอยู่ในปัจจุบัน

ใจจะสงบได้ร่างกายกับวาจาก็ต้องสงบด้วย

คือต้องนั่งเฉยๆ นั่งหลับตาแล้ว

ก็กำหนดดูลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์

หรือจะบริกรรมพุทโธเป็นอารมณ์ก็ได้

ถ้าสามารถเกาะติดอยู่กับอารมณ์ ที่ได้กำหนดไว้

ใจก็จะเข้าสู่ความสงบได้

ถ้าใจไม่ไปคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วในอดีต

 ไม่ไปคิดถึงเรื่องที่ยัง ไม่เกิดขึ้นในอนาคต

 ใจอยู่กับลมหายใจเข้าออก

หรืออยู่กับการบริกรรมพุทโธๆ เพียงอย่างเดียว

 ใจก็จะเข้าสู่ความสงบได้

เข้าสู่ความว่าง เข้าสู่อุเบกขาได้

ถ้าเข้าสู่ความสงบเข้าสู่ความว่างเข้าสู่อุเบกขา

 สักแต่ว่ารู้ได้ก็เรียกว่าเป็นสัมมาสมาธิ

 นี่เรียกว่าเป็นการเจริญมรรครอบแรก

พอมีสัมมาสมาธิแล้ว

ทีนี้ก็สามารถที่จะสร้างสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นได้

เพราะผู้ที่มีสมาธิแล้วจะเห็นบุญเห็นบาป

จะเห็นนรกเห็นสวรรค์ด้วยตนเอง

 โดยที่ไม่ต้องอาศัยพระพุทธเจ้า เป็นผู้คอยบอก

 ตอนต้นตอนที่เรา ยังไม่มีสัมมาสติ ไม่มีสัมมาสมาธิ

เราจะมองไม่เห็นเพราะเหมือนกับว่า

 เรามีผ้าปิดตาเราอยู่แต่พอเรา ได้เจริญสัมมาสติ

ได้เจริญสัมมาสมาธิแล้ว

 ใจของเราก็จะเปิดกว้างขึ้นมา

สักแต่ว่ารู้ขึ้นมา รู้การเคลื่อนไหว การกระทำของใจ

รู้ว่ากระทำแบบนี้แล้วทำให้ใจร้อนเป็นไฟขึ้นมา

 รู้ว่าการกระทำแบบนี้แล้วทำให้ใจเย็นสบาย

 นี่ก็คือรู้บุญรู้บาปรู้นรกรู้สวรรค์ รู้ที่ใจนี่เอง

 รู้ที่ใจที่มีสัมมาสมาธิ

พอรู้อย่างนี้แล้วก็จะไม่มีสัมมาทิฏฐิ

 คือทีนี้เป็นความเห็นที่ถูกต้องของตนเอง

 ไม่ได้เป็นความเห็น ที่เชื่อจากพระพุทธเจ้ามา

 ตอนแรกตอนที่ยังไม่มีสัมมาสติ

ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม

ยังไม่มีสัมมาสมาธิ เวลาพระพุทธเจ้าสอน

สวรรค์มีจริง นรกมีจริง บาปมีจริง บุญมีจริง

 ก็ได้แต่เชื่อแต่ยังไม่รู้จริงว่านรกเป็นอย่างไร

 สวรรค์เป็นอย่างไร บาปเป็นอย่างไร บุญเป็นอย่างไร

 แต่พอจิตได้สัมมาสมาธิแล้วจิตก็จะเห็นขึ้นมาทันที

 เวลาจิตคิดไปในการทำบาป ใจก็จะร้อนขึ้นมาทันที

 เวลาจิตคิดไปในทางทำบุญ จิตก็จะเย็นขึ้นมาทันที

 ก็จะรู้เลยทันทีว่า อ๋อ..นี่คือบุญ นี่คือบาป

 นี่คือนรก นี่คือสวรรค์ อันนี้เรียกว่ามีดวงตาเห็นธรรม

 มีสัมมาทิฏฐิของตนเองอย่างแท้จริง

ตอนต้นก็อาศัยสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า

เป็นผู้นำทางไปก่อน เป็นผู้ลากจิตของเราไปก่อน

 ลากไปสู่สัมมาสังกัปโปความคิดที่ถูกต้อง

 ลากไปสู่การกระทำที่ถูกต้อง

 ลากไปสู่การพูดที่ถูกต้อง

 ลากไปสู่อาชีพที่ถูกต้อง

 แล้วก็ลากไปสู่ความเพียรที่ถูกต้อง

ก็คือการเจริญสติ พอเจริญสติได้อย่างถูกต้อง

ก็จะได้สัมมาสมาธิ ได้อุเบกขาได้ความสงบ

ได้ความว่างของจิตได้เห็นตัวรู้

ได้เห็นตัวที่เป็นตัวที่สร้างบุญตัวที่สร้างบาปขึ้นมา

ได้เห็นผลของบุญและบาป

ที่ได้ถูกสร้างขึ้นมา อยู่ในใจนี้ทั้งหมด

ผู้ที่เห็นอย่างนี้ก็จะไม่สงสัย

ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น

 เห็นชัดๆอยู่ภายในใจของเรานี่เอง

 ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย ที่เรียกว่าสันทิฏฐิโก อกาลิโก

ก็คือถึงแม้พระพุทธเจ้า จะตรัสคำสอนนี้

มาอยู่ถึง ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้วก็ตาม

แต่คำสอนนี้เป็นความจริงตลอดเวลาไม่มีวันเสื่อม

 ตามกาลตามเวลา ทรงตรัสว่าเป็นอย่างนี้

เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว ในปัจจุบันนี้

มันก็เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้า

 ได้ทรงตรัสไว้เช่นเดียวกัน

 เพราะเห็นอยู่ภายในใจนี่เอง ต้องเห็นด้วยสัมมาสติ

 เห็นด้วยสัมมาสมาธิ พอเห็นแล้วทีนี้ก็จะไม่สงสัย

ในพระพุทธเจ้าว่ามีจริงหรือไม่มีจริง

ไม่ต้องไปประเทศอินเดียเพื่อไปพิสูจน์

 เพราะไปก็ไม่เจอพระพุทธเจ้าอยู่ดี

 ไปก็จะเจอแต่ซากปรักหักพังของสถานที่

ที่เขาอ้างว่าเป็นที่ประทับ ของพระพุทธเจ้า

 จะจริงหรือไม่จริง คนไปดูก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้

 แต่ถ้าพิสูจน์ด้วยการเจริญมรรค

ด้วยการเจริญสัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธินี้

ก็จะไม่สงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อีกต่อไป

แล้วก็จะมีมรรค มีแสงสว่างมีสัมมาทิฏฐินำทาง

ไปสู่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

 นำทางไปสู่พระนิพพานได้

โดยที่ไม่ต้องมีใครเป็นผู้นำทางอีกต่อไป

ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว

ถึงแม้ว่าจะเห็นขั้นแรกก็ตาม

แต่ก็จะเห็นไปตามลำดับถ้าตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่

 และดำเนินทางนี้อยู่ก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้

โดยที่ไม่ต้องมีผู้นำทางอีกต่อไป

แต่ถ้ามีผู้ที่นำทางไป ก็จะทำให้การเดินทางนี้

ง่ายขึ้นและรวดเร็วขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลา

มาคอยพิสูจน์เพราะเวลาไปถึงทางแยก

 บางครั้งก็ไม่แน่ใจว่า

จะไปทางซ้ายหรือทางขวาหรือตรงไป

 ก็อาจจะเสียเวลาพิสูจน์ดูกว่าจะได้พบ

กว่าจะได้รู้ว่าทางที่ถูกต้องนั้นเป็นทางไหน

 ก็จะช้าหน่อยถ้าไม่มีผู้ที่ผ่านมาแล้วเป็นผู้พาไป

แต่ถ้ามีผู้ที่ผ่านมาแล้ว เวลาไปถึงทางแยก

ก็เพียงแต่ถามผู้ที่รู้ ท่านก็จะบอกว่าให้ไปทางไหน

 แต่เราก็ปฏิบัติของเราไปจนกว่า

 เราจะถึงจุดที่เราต้องลังเลสงสัยไม่มั่นใจ

เราก็จะได้รับประโยชน์

จากการที่มีผู้ที่ได้เดินทางผ่านมาแล้ว

 เขาจะบอกเราได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

เราไม่ต้องเสียเวลามาทดลองทางซ้ายทางขวา

ทางตรงว่าทางไหน เป็นทางที่ถูก

นี่คือเรื่องของการเจริญมรรค ๘

ที่ให้เริ่มที่สัมมาทิฏฐิก็เพราะว่า

เราต้องมีความเห็นที่ถูกต้องก่อน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

ธรรมะบนเขาวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๗

“การศึกษาและเจริญมรรค ๘”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :21 กันยายน 2559 Last Update :21 กันยายน 2559 9:36:37 น. Counter : 645 Pageviews. Comments :0