bloggang.com mainmenu search











“สร้างตนให้เป็นที่พึ่งของตน”

เป้าหมายของการมาฟังเทศน์ฟังธรรม

 มาปฏิบัติธรรมก็คือ

การทำตนให้เป็นที่พึ่งของตน

 ให้เป็นอัตตา หิ อัตโน นาโถ

เพราะเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด

ไม่มีที่พึ่งอันใดจะดีเท่ากับ

อัตตา หิ อัตโน นาโถ คือการพึ่งตนเอง

เพราะว่าตนเองนี้

 จะไม่มีวันจากเราไปนั่นเอง

 เราจะพึ่งตัวเราเองได้ตลอดเวลา

 เเต่สิ่งต่างๆ ที่เรากำลังพึ่งกันอยู่ตอนนี้

 เป็นสิ่งที่เราพึ่งได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว

 เป็นที่พึ่งไม่ถาวร เวลาที่เขาจากเราไป

 เราก็ต้องเศร้าโศกเสียใจกัน

เพราะตอนนี้เรายังไม่สามารถพึ่งตนเองได้

 เราเลยต้องไปพึ่งสิ่งต่างๆ

 ไปพึ่งบุคคลต่างๆ

 ไปพึ่งร่างกายของเรา

 พอบุคคลต่างๆ สิ่งต่างๆ

 หรือร่างกายของเราเป็นอะไรไป

 เราก็จะเดือดร้อน จะวุ่นวาย

จะทุกข์จะทรมานใจจะเศร้าโศกเสียใจ

ดังนั้นเราจึงควรรีบมาสร้างตน

ให้เป็นที่พึ่งของตนกันเถิด

 เพราะเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ

เป็นที่พึ่งที่เราพึ่งได้ไปตลอด

 ไม่มีวันสิ้นสุด

 ถ้าเรามีตนเป็นที่พึ่งแล้ว

เราก็จะไม่ต้องพึ่งสิ่งต่างๆ

ไม่ต้องพึ่งบุคคลต่างๆ

ไม่ต้องพึ่งร่างกาย เราสามารถอยู่ได้

โดยที่ไม่ต้องมีร่างกาย

อยู่ได้โดยไม่ต้องเกิด ไม่ต้องแก่

 ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย

 ไม่ต้องพลัดพรากจากกันและกัน

นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้

ได้ทรงค้นพบ คือที่พึ่งในตัวของเราเอง

เราไม่ต้องพึ่งสิ่งต่างๆ

 เราสามารถอยู่ได้ด้วยการพึ่งตนเอง

ตอนนี้เรายังพึ่งตนเองไม่เป็น

เราจึงต้องมาพึ่ง

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน

 เพื่อให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ชี้บอกสอนเราว่า

การทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนนั้น

ทำกันอย่างไรนั่นเอง

เหมือนสมัยที่เราเป็นเด็กๆ

เวลาคลอดออกมาจากท้องแม่ใหม่ๆ

 เรายังไม่สามารถพึ่งตนเองได้

ร่างกายยังไม่สามารถพึ่งร่างกายได้

 จึงต้องอาศัยร่างกายของแม่ของพ่อ

 เป็นที่พึ่งก่อน ให้พ่อแม่เลี้ยงดูสั่งสอน

ให้รู้วิธีการเลี้ยงชีพ

ให้รู้จักวิธีดูแลรักษาร่างกายของตน

 แล้วพอโตขึ้น ก็ส่งให้เราไปโรงเรียน

เพื่อจะได้ไปเรียนรู้จักครูจักอาจารย์

วิชาความรู้ต่างๆ ที่เราจะได้นำเอามาใช้

 ในการทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

นี่คือเรื่องของการเลี้ยงดูร่างกาย

ก่อนที่จะเลี้ยงดูร่างกายได้ด้วยตนเอง

 ก็ต้องอาศัยผู้อื่นเลี้ยงดูไปก่อน

 เพราะเวลาที่เป็นเด็กเป็นทารก

ยังไม่สามารถที่จะเลี้ยงดูตนเองได้

จึงต้องอาศัยพ่ออาศัยแม่

อาศัยครูบาอาจารย์ คอยสั่งคอยสอน

ให้เรามีวิชาความรู้

ที่เราจะได้นำเอาไปเลี้ยงชีพ

เลี้ยงร่างกายของเราต่อไป

 พอเราเรียนจบ

ร่างกายเราเเข็งแรงโตเต็มที่

 เราก็สามารถไปทำงานทำการ

ไปหารายได้มาเลี้ยงชีพของเรา

เราก็ไม่ต้องพึ่งพ่อแม่

ไม่ต้องพึ่งครูบาอาจารย์

เพราะเราสามารถพึ่งตัวเราเองได้แล้ว

แต่นี่เป็นที่พึ่งทางร่างกาย

ส่วนที่พึ่งทางใจ

เรายังไม่สามารถพึ่งตนเองได้

 ใจของเรายังต้องพึ่งสิ่งต่างๆ

 มาให้ความสุข

เรายังต้องพึ่งลาภยศ สรรเสริญ

 ยังต้องพึ่งรูปเสียงกลิ่นรส

โผฏฐัพพะชนิดต่างๆ ต้องพึ่งร่างกาย

คือต้องพึ่งตาหูจมูกลิ้นกาย

เราจะเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะได้

แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้

ล้วนเป็นของชั่วคราวทั้งนั้น

 มีวันหนึ่งเราจะต้องไม่สามารถพึ่งเขาได้

 มีวันหนึ่งเขาจะต้องหมดไปหรือจากเราไป

แล้วเวลานั้นเราก็จะไม่มีที่พึ่ง

พอเราไม่มีที่พึ่งเราก็จะเดือดร้อน

 จะวุ่นวาย จะเศร้าโศกเสียใจ

 จะร้องห่มร้องไห้กัน

 เพราะเราไม่มีที่พึ่งทางใจ

เราไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางใจให้กับเราได้

 เพราะว่าเราไม่รู้ว่าวิธี

ทำให้เรามีที่พึ่งทางใจนั้นทำกันอย่างไร

วิธีที่จะทำให้ตัวเรานั้น

เป็นที่พึ่งของเราเองนั้น ทำได้อย่างไร

 ถ้าเราไม่ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

ก็จะไม่มีวันรู้ได้

 เพราะไม่มีใครในโลกนี้

ที่จะรู้จักวิธีทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

 ทำอัตตาหิ อัตโน นาโถได้

 ต้องมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้

พระพุทธเจ้านี้เป็นบุคคลแรกของโลก

ที่ค้นพบวิธีที่จะพึ่งตนเองได้

ที่ไม่ต้องพึ่งสิ่งต่าๆง เช่นลาภยศ สรรเสริญ

เช่นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

เช่นร่างกาย พระองค์สามารถ

อยู่อย่างมีความสุขและมีความสุข

มากกว่าความสุข

ที่ได้จากการพึ่งสิ่งต่างๆเสียอีก

ตอนต้นพระองค์ก็ต้องพึ่ง สิ่งต่างๆ

 ตอนที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ

 พระองค์ก็ต้องพึ่งลาภยศ สรรเสริญ

 สุขของพระราชโอรส

พระองค์มีปราสาท ๓ ฤดู

 มีนางสนมกำนัล มีข้าราชบริพาร

 ผู้ที่มาคอยรับใช้ดูแลสนองความสุขต่างๆ

 ให้กับพระองค์ มีร่างกายที่เเข็งแรงสมบูรณ์

มีตาหูจมูกลิ้นกายที่ดี

ที่สามารถเสพความสุขต่างๆ

 ได้อย่างต่อเนื่อง

 แต่วันหนึ่งพระองค์ก็ทรงเสด็จ

ออกไปนอกพระราชวัง

แล้วทรงไปพบเห็นคนแก่

คนเจ็บ คนตายและนักบวช

จึงทำให้ความรู้สึกว่าพระองค์นั้น

เป็นที่พึ่งของตนนั้นหายไปทันที

 เพราะเมื่อทรงทราบว่าต่อไป

 ร่างกายของพระองค์

ที่พระองค์ทรงใช้อาศัย

เป็นเครื่องมือหาความสุขให้กับพระองค์นั้น

จะต้องไม่สามารถ หาความสุข

มาให้กับพระองค์ได้

 เวลาที่แก่ เวลาที่เจ็บไข้ได้ป่วย เวลาที่ตายไป

พระองค์ก็เลยเกิด ความหวาดกลัวขึ้นมา

หวาดกลัวต่อความแก่

 ความเจ็บและความตาย

ถึงขีดที่จะทำให้พระองค์นี้

อยากจะหาวิธีหนีให้พ้น

จากความแก่ ความเจ็บ ความตายไปให้ได้

 พระองค์ก็ทรงพบว่า

มีผู้ที่กำลังแสวงหาการหลุดออกจาก

การการแก่ การเจ็บ การตายอยู่

 ก็คือนักบวช

บุคคลที่พระองค์เห็นเป็นบุคคลที่ ๔

ตอนต้นทรงเห็นคนแก่

แล้วก็เห็นคนเจ็บไข้ได้ป่วย

แล้วก็เห็นคนตาย ต่อมาก็เห็นนักบวช

พระองค์ก็ทราบว่านักบวชนี้

เป็นผู้ที่กำลังค้นหาวิธี

ให้หลุดออกจากการแก่ การเจ็บ การตาย

จึงทำให้พระองค์นี้อยากจะค้นพบวิธีนี้

เพราะพระองค์ไม่ต้องการที่จะแก่

ไม่ต้องการที่จะเจ็บ ไม่ต้องการที่จะตาย

 พระองค์ก็เลยสละราชสมบัติ

 เพราะผู้ที่จะหาวิธีที่จะทำให้ไม่ต้องแก่

 ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตายนั้น

จะต้องไปอยู่แบบนักบวช

ไปอยู่แบบขอทาน ไปอยู่แบบไม่มีอะไร

 ไม่พึ่งอะไร ไม่พึ่งร่างกาย

เพราะถ้าพึ่งร่างกาย

เวลาร่างกายแก่ ร่างกายเจ็บ

 ร่างกายตายก็ต้องลำบากก็ต้องเดือดร้อน

จึงต้องไปหาสิ่งอื่น มาพึ่งแทนร่างกายนี้

 สิ่งที่พวกนักบวชเขาแสวงหากัน

ก็คือที่พึ่งภายในใจของเขาเอง

 ทำอย่างไรให้ใจของเขานั้น

มีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องมีสิ่งต่างๆ

 มาให้ความสุข ไม่ต้องมีร่างกาย

เป็นเครื่องมือไปหาสิ่งต่างๆ มาให้ความสุข

แล้วหลังจากที่พระองค์ได้ทรงศึกษา

และปฏิบัติอยู่ ๖ ปีด้วยกัน

พระองค์ก็ทรงค้นพบวิธีที่จะทำให้พระองค์

 ไม่ต้องอาศัยร่างกาย

เป็นเครื่องมือหาความสุข

ให้กับพระองค์อีกต่อไป

 ไม่ต้องอาศัยรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ

 ไม่ต้องอาศัยทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทองบุคคลต่างๆ

 สิ่งต่างๆมาให้ความสุขกับพระองค์

พระองค์ทรงค้นพบ

ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ที่มีอยู่ในพระทัยของพระองค์

ด้วยการเจริญธรรม

ที่พระองค์ได้ทรงค้นพบ

 ธรรมที่จะทำให้พระทัยของพระองค์นั้น

มีแต่ความสุขปราศจากความทุกข์

โดยที่ไม่ต้องมีอะไรเป็นเครื่องมือ

มาทำให้พระองค์มีความสุข

เพราะถ้ายังต้องอาศัยร่างกาย

ยังต้องอาศัยลาภยศ สรรเสริญอยู่

ก็จะต้องพบกับความทุกข์

 เพราะสิ่งเหล่านี้

 เขาเป็นของชั่วคราวนั่นเอง

 พึ่งได้เพียงชั่วคราว

ไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องจากเราไป

 เวลาเขาจากเราไป

ความสุขที่เราได้จากเขาก็หายไป

 สิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือความทุกข์ใจ

 ความทรมานใจ ความรันทดใจ

 ความเศร้าโศกเสียใจ

หลังจากที่พระองค์ได้ทรงค้นพบ

ความสุขอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ต้องพึ่งสิ่งต่างๆ

 พระองค์ก็เลยนำเอาความรู้นี้

มาเผยแผ่สั่งสอนให้แก่ผู้อื่นต่อไป

ผู้ที่ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า

แล้วน้อมนำเอาไปปฏิบัติ

ด้วยศรัทธาความเชื่อ

 ด้วยวิริยะความอุตสาหะ

พยายาม ไม่ช้าก็เร็ว

ก็สามารถทำตนเองให้เป็นที่พึ่งของตนได้

ไม่ต้องพึ่งอะไรในโลกนี้มาให้ความสุข

 พึ่งตนเอง พึ่งการปฏิบัติ

สร้างธรรมะที่จะทำให้ใจสงบ

 ที่จะทำให้ใจไม่ต้องกลับมาเกิด

 มาแก่ มาเจ็บ มาตายอีกต่อไป

 เพราะไม่ต้องใช้ร่างกาย

เป็นเครื่องมือหาความสุข

สามารถอยู่กับความว่างได้อย่างมีความสุข

 อยู่กับความไม่มี อยู่กับความยากจน

 อยู่กับการไม่มีร่างกาย

 อยู่กับการไม่มีลาภยศ สรรเสริญ

 อยู่กับการไม่มีรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ

เพราะว่ามีธรรมที่จะให้ความสุขแก่ใจ

พอท่านเหล่านี้สามารถปฏิบัติ

จนทำให้ตนเป็นที่พึ่งของตนได้

ท่านก็กลายเป็นพระอรหันตสาวกขึ้นมา

 เป็นผู้ที่มีความสุข

แบบเดียวกับที่พระพุทธเจ้ามีความสุข

 เป็นผู้ที่ไม่ต้องพึ่งสิ่งต่างๆในโลกนี้

มาให้ความสุขเหมือนกับพระพุทธเจ้า

 แล้วท่านเหล่านี้ก็มาช่วยพระพุทธเจ้า

เผยแผ่พระธรรมคำสอนอันยิ่งใหญ่

 อันมีคุณอันมโหฬารนี้ให้แก่ผู้อื่นต่อไป

ผู้อื่นที่ได้ยินได้ฟังแล้วเกิดศรัทธา

 ความเชื่อแล้วก็น้อมนำเอาไปปฏิบัติ

แล้วก็จะได้รับผลเช่นเดียวกัน

นี่คือการพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เพื่อที่จะทำให้เรานั้นเป็นที่พึ่งของเราเองได้

 ถ้าเราไม่มีพระพุทธ พระธรรม

พระสงฆ์มาสั่งมาสอน

 พวกเราจะไม่มีวันที่จะสามารถ

ทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนเองได้เลย

เพราะเราไม่รู้จักวิธี

 เรารู้จักแต่วิธีที่จะพึ่งสิ่งต่างๆ

มาให้ความสุขกับเรา

แต่เราไม่รู้จักวิธีพึ่งตนเอง

 เพื่อให้เกิดความสุขกับเรา

 เราจึงต้องพึ่งพระพุทธ

พระธรรม พระสงฆ์ก่อน

 เหมือนกับตอนที่เราเป็นเด็กๆ

เราต้องพึ่งพ่อแม่ พึ่งครูบาอาจารย์ก่อน

 พอเราโตแล้วเราสามารถพึ่งตัวเราได้แล้ว

เราก็ไม่ต้องพึ่งพ่อแม่

ม่ต้องพึ่งครูบาอาจารย์ อีกต่อไป

ฉันใดถ้าเราได้ฟังเทศน์ฟังธรรม

แล้วน้อมนำเอาไปปฏิบัติ

จนสามารถทำตนเอง

 ให้เป็นที่พึ่งของตนได้แล้ว

เราก็ไม่ต้องพึ่งพระพุทธ พระธรรม

 พระสงฆ์อีกต่อไป

เพราะเราพึ่งตนเองได้แล้ว

 นี่คือเรื่องของพระพุทธศาสนา

เรื่องของการที่จะทำให้เรานั้น

ไม่ต้องพึ่งอะไรต่างๆ ในโลกนี้

ให้เราสามารถอยู่กับความว่างได้

โดยไม่เดือดร้อน

อยู่อย่างมีความสุขกับการไม่มีอะไรเลย

 ไม่มีลาภยศ สรรเสริญ

 ไม่มีรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ไม่มีร่างกาย อยู่ได้อย่างสุขอย่างสบาย

ดีกว่าการอยู่แบบมีลาภยศ สรรเสริญ

มีรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

มีบุคคลนั้นมีบุคคลนี้มีสิ่งนั้นสิ่งนี้

มีร่างกาย เพราะว่ามันเป็นความสุขเดี๋ยวเดียว

เป็นความสุขแบบยาเสพติด

ที่จะต้องคอยเสพอยู่เรื่อยๆ

ต้องคอยมีให้เสพอยู่เรื่อยๆ

 เวลาที่ไม่มีให้เสพเวลานั้น

ก็กลายเป็นความวุ่นวายใจ

เป็นความหงุดหงิดรำคาญใจ

 เป็นความเศร้าสร้อยหงอยเหงา

 เป็นความว้าเหว่ เป็นความเศร้าโศกเสียใจ

นี่คือผลที่เกิดจากการ

ที่เราไม่ได้เป็นที่พึ่งของตน

 การที่เราไปพึ่งบุคคลต่างๆ

 สิ่งต่างๆ มาเป็นที่พึ่ง

เราจะต้อง พบกับความทุกข์ต่างๆ

 เราจึงไม่ควรที่จะพึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้

 เราควรจะทำตามตัวอย่างของพระพุทธเจ้า

ที่ตอนที่ทรงเป็นพระราชโอรส

พระองค์ก็ทรงพึ่งสิ่งต่างๆ

 เหมือนที่พวกเรากำลังพึ่งกันอยู่ในตอนนี้

 แต่หลังจากที่พระองค์ได้ทรงเห็นว่า

พระวรกายของพระองค์นั้น

จะต้องแก่ จะต้องเจ็บ และจะต้องตายไป

 แล้วจะไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับพระองค์ได้

 พระองค์ก็เลยทรงเลิกใช้ร่างกาย

เป็นเครื่องไม้เครื่องมือหาความสุข

 แล้วมุ่งไปหาธรรมที่จะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ

ที่จะสร้างความสุขให้กับใจ

โดยที่ไม่ต้องพึ่งอะไรต่างๆ

ไม่ค้องพึ่งบุคคลต่างๆ สิ่งต่างๆ

ม่ต้องพึ่งร่างกายมาให้ความสุขกับตน

แล้วหลังจากที่ทรงปฏิบัติอยู่ ๖ ปี

พระองค์ก็ทรงสามารถสร้างตนเอง

ให้เป็นที่พึ่งของตนได้ แล้ว

พอพระองค์นำมาสั่งสอน

ให้แก่พระสาวก

 พระสาวกนี้กลับสามารถ

ทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

 อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

กว่าพระพุทธเจ้าอีก

 บางคนนี้พอฟังธรรมเพียงครั้งเดียว

ก็สามารถทำตนให้เป็นที่พึ่ง ของตนได้เลย

 เพราะว่ามีคนสอนมีคนบอกวิธีนั่นเอง

 แล้วเมื่อมีกำลังมีบารมีพอ

ก็สามารถน้อมนำ เอาไปปฏิบัติได้ทันที

 ในขณะที่กำลังฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่

การมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้และมาสั่งสอนนี้

 จึงเป็นพระคุณอันใหญ่หลวง

ต่อสัตว์โลกอย่างพวกเรา

เพราะถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาทรงสอน

วิธีสร้างตน ให้เป็นที่พี่งของตน

ต่อให้เราปฏิบัติเข้มข้นขนาดไหน

ต่อให้เราปฏิบัติขยันขนาดไหน

 เราก็จะไม่มีวันที่จะสามารถ

 สร้างตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

 เพราะเราไม่รู้จักวิธีนั่นเอง

เราก็จะทำแบบคนตาบอด

คนตาบอดสร้างบ้าน

 กับคนที่ไม่ตาบอดสร้างบ้านนี้ใ

ครจะสร้างบ้านได้ ใครจะสร้างบ้านไม่ได้

คนตาบอดจะไปหาวัสดุตรงไหน ก็ยังไม่รู้

จะไปหาข้าวของต่างๆ ที่จะมาก่อสร้าง

ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหน

เพราะตามืดบอดมองไม่เห็น

แล้วเมื่อไปหามาได้แล้ว

จะสร้างมันได้อย่างไร ไม่มีวันหรอก

 ต่อให้ทำไปจนวันตาย

ก็จะไม่สามารถสร้างบ้าน

 สร้างเรือนของตนเองขึ้นมาได้

แต่ถ้ามีคนมาคอยบอกวิธี

ว่าให้ทำอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้

พอทำตามที่เขาบอก

เดี๋ยวเดียวก็สามารถสร้างบ้านให้เสร็จได้

นี่คือพระคุณของพระพุทธเจ้า

ที่มีต่อสัตว์โลกทำให้สัตว์โลกทั้งหลายนี้

รู้จักวิธีทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าไม่มีใคร

ที่จะสามารถทำตน

ให้เป็นที่พึ่งของตนเองได้เลย

 จะไม่มีพระสาวกแม้แต่รูปเดียว

 ก่อนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นี้

ม่มีใครที่รู้จักวิธีทำตนให้เป็นที่พึ่งของตน

ไม่มีใครเป็นพระสาวกกันเลย

 แต่พอหลังจากที่

พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว

 แล้วนำเอาความรู้นี้มาเผยแผ่สั่งสอน

ก็ปรากฏมีพระอรหันตสาวก

โผล่ขึ้นมาเป็นจำนวนมากมายก่ายกอง

ง่ายดายและรวดเร็ว

ตอนนี้พวกเราสามารถ

ที่จะทำตนให้เป็นที่พึ่งของตน

ได้ง่ายกว่าพระพุทธเจ้า

 พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญถึง ๖ ปีด้วยกัน

จึงจะสามารถทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

 แต่หลังจากที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมนี้

 พระองค์ได้ทรงรับประกันไว้เลยว่า

 ถ้าปฏิบัติตามที่พระองค์ทรง สอนได้

ภายใน ๗ วันนี้ก็สามารถ

ที่จะทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

หรือถ้าไม่ ๗ วันก็ ๗ เดือน

ถ้าไม่ ๗ เดือนก็ไม่เกิน ๗ ปี

 จะสามารถทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

 นี่คือพระคุณของพระพุทธเจ้าที่มีต่อสัตว์โลก

 อย่างพวกเรา สามารถทำให้พวกเรานี้

ทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

ภายในภพนี้ภายในชาตินี้เลย

 ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาทรงโปรด

 เราก็ต้องบำเพ็ญ

อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญ

บำเพ็ญบุญบารมีไปเรื่อยๆ

 เป็นเวลานับเป็นกัปเป็นกัลป์

จนกว่าบารมีจะมีครบถ้วนบริบูรณ์

อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงมี

จึงจะสามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้

 สามารถที่จะทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๙

“สร้างตนให้เป็นที่พึ่งของตน”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :04 พฤศจิกายน 2559 Last Update :4 พฤศจิกายน 2559 6:22:48 น. Counter : 990 Pageviews. Comments :0