bloggang.com mainmenu search









“นั่งเฉยๆ สู้ความอยาก”

วิธีหาความสุขที่ถูกต้อง

ก็คือต้องสกัดความอยากต้องฝืนความอยาก

ยอมเครียดยอมหงุดหงิดสู้กับมัน

 เดี๋ยวพอแรงมันหมด เหมือนเชื้อฟืน

พอเชื้อเพลิงหมดไฟก็ดับเอง

 พอมีความอยากแล้วไม่ได้ทำตามความอยาก

 มันอ่อนกำลังลง

ความหงุดหงิดก็เบาแล้วก็หายไป

ไม่เชื่อลองทำดูซิ อยากกินกาแฟนี้

ลองเลิกกินดู ลองสู้กับมันดู ให้มันหงุดหงิดไป

 มันจะหงุดหงิดไปเท่าไรก็หงุดหงิดไป

มันก็เหมือนไฟมันก็ต้องไหม้

ตราบใดที่ยังมีเชื้ออยู่

 มันก็ต้องไหม้ เดี๋ยวความอยากมันหมด

ไฟมันก็หมดไปเอง

ความอยากมันจะหมดไปได้

ก็ต่อเมื่อ เราไม่ตอบสนองมัน

 ถ้าตอบสนองแล้วมันก็จะใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ

 มากขึ้นไปเรื่อยๆ เจริบเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ

ถ้าไม่ตอบสนองมัน มันก็จะหดตัวลงไป

 ลดลงไป เบาลงไป เดี๋ยวก็หมดเอง

จึงแนะนำวิธีลองนั่งเฉยๆ สัก ๕-๖ ชั่วโมงดู

มันอยากจะทำอะไรก็ไม่ต้องไปทำ นั่งเฉยๆ

สู้กับความอยากไป

อนุญาตถ้าร่างกายต้องการน้ำ

 ก็ให้ดื่มน้ำ เอาน้ำเปล่ามาตั้งไว้

 ดื่มน้ำเปล่าให้กับร่างกายนี้

ไม่ได้ดื่มด้วยความอยากไม่เป็นไร

เวลาจะถ่ายน้ำออกจากร่างกายก็ไป

 อันนี้ไม่ได้ทำด้วยความอยาก

แต่อย่างอื่นอย่าไปทำ

 อยากจะลุกขึ้นยืน อยากจะเดินไปตรงโน้น

 อันนี้อยากทั้งนั้น นั่งเฉยๆ อยู่เฉยๆ ดีจะตายไป

 คนต้องแบกข้าวสารไปทำงานไปขับรถ

อันไหนมันจะสบายกว่ากัน

แต่คนเรากลับชอบความทุกข์กัน

ความสบายกลับไม่ชอบ

 ชอบไปทำงานคร่ำเคร่ง

คร่ำเครียดกับการทำงานกัน

 ให้อยู่เฉยๆนี้กลับอยู่ไม่ได้

อยู่เฉยๆ เป็นสุขจะตายไป

 เพราะความอยากมันดัน มันสร้างความเครียด

สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจ

ถ้าอยากจะสู้กับความอยากต้องนั่งเฉยๆ

แล้วใช้สติคอบควบคุมความคิด

แล้วความอยากมันก็จะอ่อนกำลังลง

 ถ้ามันหยุดคิดความอยากก็นิ่งหายไป

 ถ้าจิตสงบเต็มที่ความอยากก็หายไปหมด

 ใจก็จะเบาขึ้นมา สุขขึ้นมา นี่อุบายวิธีให้ต่อสู้

ให้พัฒนา นั่งเฉยๆ เท่านั้นเอง

 ไม่ต้องทำอะไรสบายจะตายไป

เงินก็ไม่เสียสักบาท นั่งเฉยๆ

ทำไมกลับชอบไปเสียเงินกัน

 ต้องออกไปเสียเงินแล้วถึงจะมีความสุขกัน

 แต่ความสุขเดี๋ยวเดียว

 เดี๋ยวกลับมาอยู่บ้านสักพัก

ก็อยากจะออกใหม่อีกแล้ว

 เดี๋ยวเงินหมดก็ต้องไปหาเงินกันอีกแล้ว

 นี่ปัญหาอยู่แค่ตรงนี้ อย่าไปใช้เงิน

ไม่มีเงินก็อย่าไปใช้เงิน

ไม่เห็นจำเป็นจะต้องใช้เลย

 ใช้กับของที่จำเป็น มันก็ไม่กี่ตังค์

 ข้าวมื้อละกี่บาท กินวันละมื้อก็อยู่ได้แล้ว

 ร่างกายจะได้หายจากการเป็นตุ่มไปด้วย

สู้ความอยากไม่ได้ ความอยากมันทำให้ทรมานใจ

 ถ้าไม่สู้ก็ต้องเป็นทาสของมันไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

 ตายไปก็กลับมาเกิดใหม่ ไม่มีวันสิ้นสุด

 ทุกข์แบบนี้ไปเรื่อยๆ

 ทุกข์กับความอยากไปเรื่อยๆ

หงุดหงิด กับความอยากไปเรื่อยๆ

ถ้าอยู่เฉยๆได้แล้วจะสบาย

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

ที่พระเทศน์เอวังก็ให้อยู่เฉยๆ

หยุดความอยาก

 เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ถ้าอยู่เฉยๆได้แล้ว

ก็สุคโต ไปสู่สุคติ ไปสู่นิพพาน

นิพพานคือสุคโต

 นี่แหละคือความรู้ของพระพุทธเจ้า

ที่ไม่มีใครรู้มาก่อน พอคนเอาไปใช้ปฏิบัติ

ก็ได้ประโยชน์ ไปสุคติกัน

ไปนิพพานกันเป็นจำนวนมากเลย

พระอรหันตสาวกนี้ เพียงชั่ว ๗ เดือนแรก

มีตั้ง ๑,๒๕๐ องค์แล้ว

ก่อนหน้านั้นเป็นเวลาหลายกัปหลายกัลป์

ไม่มีแม้แต่องค์เดียว

เพราะไม่มีใครบอกวิธีให้เห็นว่าเป็นอย่างไร

 พอพระพุทธเจ้ามาแสดงอริยสัจ ๔ ปั๊บ

 อ่อ...ความอยากนี่เอง หยุดความอยากได้

ทำใจให้สงบ ฝืนความอยาก

 ไม่ทำตามความอยาก

 เห็นโทษของความอยาก

ก็จะทำลายความอยากได้หมด

 ถ้าเราเห็นความอยากว่าเป็นยาพิษ

เราจะกล้ากินมันไหม

 เราไม่เห็นความอยากว่าเป็นยาพิษ

 เรากลับเห็นว่า เป็นขนมหวาน

พออยากปั๊บนี้ทำตามมันเลย

มันสั่งให้ทำอะไร

ก็ทำตามมันเลยแล้วเป็นอย่างไร

 ชีวิตของเรา วุ่นวายหรือสงบ

 ที่วุ่นวายกันทุกวันนี้ก็วุ่นวาย

ด้วยความอยากนี่แหละ

ไม่ได้วุ่นวายกับเรื่องอะไรหรอก

อยากได้โน่นอยากได้นี่

อยากให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้

อยากตลอดเวลา

วันๆหนึ่งไม่รู้อยากกี่เรื่องกี่ราว

อยากอยู่เรื่อยๆ พอไม่ได้ดังใจอยากก็เครียด

หงุดหงิดรำคาญใจขึ้นมา

นี่คือพระพุทธเจ้าของเรา

 นานๆ จะได้เจอคนอย่างพระพุทธเจ้าสักครั้ง

ที่จะมาบอกพวกเราว่าปัญหาของพวกเรา

 อยู่ที่ความอยากของพวกเรา

เราต้องใช้สติ สมาธิ ปัญญา ถ้ามี ๓ ตัวนี้แล้ว

ความอยากจะสู้ไม่ได้

ความอยากเขาเรียกว่า “อธรรม”

ธรรมก็คือสติ สมาธิ ปัญญา

ที่เขาพูดว่าธรรมะย่อมชนะอธรรมนี้

เขาไม่ได้หมายถึง คนดีจะชนะคนชั่วหรอก

สมัยนี้คนดีแพ้คนชั่วทั้งนั้นแหละ

 คนชั่วมันมีอาวุธ มันทำได้ทุกรูปแบบ

 คนดีทำไม่ได้

 คนดีจะไปชนะคนชั่วได้อย่างไร

อันนี้ไม่ได้ชนะแบบนั้น “ธรรม”

ก็คือสติ สมาธิ ปัญญา เอามาใช้กับอธรรม

คือคู่ต่อสู้ของธรรมก็คือ อธรรม

คือตัณหาความอยาก

ความอยากนี้มันกลัวสติ กลัวสมาธิ

 กลัวปัญญามาก ถ้าใครมี ๓ ตัวนี้

ความอยากหายหมดเลย

ไม่มีหลงเหลือ อยู่ในใจเลย

นี่แหละพระพุทธเจ้าสอนให้สร้างแค่ ๓ ตัวนี้

 ส่วนตัวอื่นก็เป็นตัวสนับสนุนให้มาสร้าง

 ตัวศีล ตัวทานนี้ก็เป็นตัวสนับสนุน

 เพราะตัวทานก็เหมือนสมอเรือ

 จะเอาเรือออกเดินได้ก็ต้องถอนสมอก่อน

ถ้าไม่ถอนสมอไปติดกับเรื่องหาเงิน

เรื่องใช้เงินใช้ทองอยู่

มันก็ไม่มีเวลาที่จะมาเจริญสติ สมาธิ ปัญญา

ไม่มีเวลามารักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้

 ที่ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์

ใจจะได้ไม่มีเรื่องมีราวไม่มีปัญหากับใคร

ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวต้องไปแก้ ขึ้นโรงขึ้นศาลกัน

ก็จะไม่มีเวลามาปลีกวิเวกกัน ทาน ศีล

 มีเพื่อเปิดช่องทางให้เรา

 ได้มาปลีกวิเวกมาเจริญธรรมะกัน

เพื่อจะได้เอาชนะอธรรมที่มีอยู่ในใจ

ตอนนี้อธรรมมันครองใจเราอยู่

เราต้องเอาธรรมะมาทำลายมัน

ตอนนี้เราไม่ค่อยมีธรรมะกัน

 สติไม่ค่อยมีเลย

 เผลออยู่เรื่อยๆ ใจลอยอยู่เรื่อยๆ

คิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ อยากไปเรื่อยๆ

สมาธิจิตไม่เคยรวมไม่เคยสงบไม่เคยตั้งมั่นเลย

เป็นเหมือนปุยนุ่น ปลิวไปกับอารมณ์ต่างๆ

อารมณ์อะไรมากระทบหน่อยก็ไปแล้ว

หวั่นไหวแล้ว คิดถึงความเสื่อมหน่อย

ก็หวั่นไหวกันแล้ว

 คิดถึงเวลาไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน

ก็หวั่นไหวกันแล้ว

 คิดถึงเหตุการณ์ที่ไม่พึ่งปรารถนา

ก็หวั่นไหวกันแล้ว

 เพราะใจไม่มีสมาธิ ถ้ามีสมาธิแล้วใจจะเฉย

กับเหตุการณ์ต่างๆ ไม่มีความรัก ความชัง

 ความหลัว ความหลง เฉยๆ

 เห็นอะไรก็สักแต่ว่ารู้

ถ้าไม่เฉยก็ต้องใช้ปัญญามาช่วย

มันจะเฉยเฉพาะเวลาที่มันปิดทวารทั้ง ๕

ไม่รับรู้ เรื่องราวต่างๆ

 สมาธินี้จะไม่รับรู้เรื่องราวต่างๆ

จะเข้าไปรวมอยู่ข้างใน ไม่รับรู้รูป เสียง

กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

มันเลยเฉยได้ เป็นอุเบกขาได้

แต่พอออกจากสมาธิมา

พอเริ่มรับรู้อุเบกขาเริ่มแตกแล้ว

พอเห็นของอะไรที่เคยรัก ก็จะรักขึ้นมา

เห็นอะไรเคยชังก็จะชังขึ้นมา

ตอนนั้นต้องใช้ปัญญามาสกัด

ไม่ให้รักไม่ให้ชัง

 สอนใจว่าความรักไม่ดี ความชังไม่ดี

เพราะทำให้ใจหวั่นไหวทำให้ใจไม่ตั้งมั่น

ทำให้ใจไม่นิ่งทำให้ใจไม่สงบ ทำให้ใจไม่สุข

ความรัก ความชัง ความกลัว ความหลงนี้

เป็นตัวที่มาทำลายความสงบ ความสุขของใจ

ดังนั้นอย่าไปรักอะไร อย่าไปชังอะไรให้รู้เฉยๆ

จะไม่รักได้ก็ต้องรู้ว่ามันไม่เที่ยง

รักอะไรแล้วเดี๋ยวเสียไปก็จะเสียใจ

พอเห็นว่าไม่เที่ยงไม่รักดีกว่า

เห็นอะไรชังก็บอกว่าเราไปห้ามเขาไม่ได้

 จะเจอไม่เจอเขานี้ห้ามไม่ได้

 เวลาจะเจอก็ทำใจเฉยๆไว้

อย่าไปอยากให้เขาหายแล้วจะไม่มีปัญหาอะไร

 ไปเจอของที่เราชังก็ต้องทำใจเฉยๆ

ว่าห้ามไม่ได้เป็นวิบากของเรา

ถ้ามาเกิดในโลกนี้มันต้องเจอของที่เราไม่ชอบ

 และวิธีที่จะปฏิบัติกับเขาก็คือเฉยๆ

 อย่าไปยุ่งกับเขาเวลาเจอความกลัวก็พิจารณาว่า

อย่างมากก็แค่ตาย ไม่มีใครไม่ตายมันก็หายกลัว

 เวลาหลงก็ต้องศึกษาว่ากำลังหลงกับเรื่องอะไร

หลงว่าเป็นของเราก็ต้องใช้ปัญญาบอกว่า

มันไม่ใช่มันไม่มีอะไร

เป็นของเรา เรามาตัวเปล่าๆ

เดี๋ยวเราก็ไปตัวเปล่าๆ ใจผู้มานี้ไม่มีรูปไม่มีร่าง

ไม่มีทรัพย์สมบัติไม่มีอะไรติดตัวมา

มาได้ร่างกายมาได้สมบัติต่างๆ

 แล้วแดี๋ยวพอร่างกายตายไป

มันก็เอาอะไรไปไม่ได้ ร่างกายก็เอาไปไม่ได้

นี่คือใช้ปัญญามาสกัดใช้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

รักก็ทุกข์นะ เวลารักก็ทุกข์

 เวลาชังก็ทุกข์ เวลากลัวก็ทุกข์

 เวลาหลงก็ทุกข์ให้คิดอย่างนี้

จะได้ไม่รักไม่ชังไม่กลัวไม่หลง

ถ้าไม่อยากจะทุกข์ วิธีไม่ทุกข์ก็เฉยๆ เท่านั้นเอง

อย่าไปรักอย่าไปชังอย่าไปกลัวอย่าไปหลง

 อย่าไปคิดว่าเป็นของเรา

 ความหลงทำให้คิดว่าเป็นของเรา

 ความกลัวก็ความอยากจะอยู่

อยากไม่ให้อะไรจากเราไป

 แต่ไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างไป

นี่คือธรรมะที่พวกเราต้องสร้างกันขึ้นมา

สร้างสติ สร้างสมาธิ สร้างปัญญาขึ้นมา

แล้วรับรองได้ว่าความอยาก

จะไม่สามารถที่จะโผล่ขึ้นมาได้

โผล่ขึ้นมาก็จะถูกตัดทันที

อยากกาแฟก็ทุกข์

พอเห็นว่าทุกข์อยากจะดื่มยาพิษ

 ดื่มยาพิษมันยังไม่ทุกข์เท่ากับดื่มกาแฟ

 ดื่มยาพิษมันก็ทุกข์แป๊บเดียวตายมันก็จบ

 ม้วนเดียวจบกินแก้วเดียวจบ

ทุกข์แบบยาพิษนี้ทุกข์แป๊บเดียว

กินแล้วก็ตายแล้วก็จบแล้ว

 แต่ทุกข์แบบกาแฟนี้ยาวเป็นปีเลย

ทุกข์กับมัน อยู่เรื่อยๆ ทุกข์ทุกเช้าทุกเวลา

 พออยากปั๊บก็ทุกข์แล้ว

ความอยากดื่มยาพิษไม่ร้ายกาจ

เท่ากับการดื่มกาแฟ

 อยากดื่มสุรา อันนั้นฆ่าผ่อนส่งเข้าใจไหม

เชือดเฉือนทีละนิดทีละหน่อย

 วันละนิดวันละหน่อย

 วันหนึ่งก็เอามีดมาเฉือนหน่อย

ทุกครั้งที่อยากก็โดนมีดเฉือนอีกที

แต่ถ้าดื่มยาพิษนี้

กรอกเข้าไปในปากหนเดียวจบเลย

 กินแล้วตายแล้วก็จบ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๙





 

ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :14 กันยายน 2559 Last Update :14 กันยายน 2559 9:13:55 น. Counter : 1301 Pageviews. Comments :0