bloggang.com mainmenu search









“ปฏิบัติเพื่อละตัวตน

ยิ่งธรรมสูงตัวตนยิ่งน้อยลง”

ผู้ที่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

จะไม่รังเกียจเดียดฉันท์กับสิ่งที่

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติเลย

เพราะการปฏิบัติจริงๆก็เพื่อลดละตัวตน

ยิ่งปฏิบัติธรรมสูงขึ้นเท่าไร ตัวตนยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ

 ความถือตัวถือตน ถือว่าเป็นผู้วิเศษ เป็นผู้ยิ่งใหญ่

 จะหายไปจนไม่มีหลงเหลืออยู่ในตัวเลย

 เพราะความถือตัวนี้แหละเป็นต้นเหตุของความทุกข์

 พอใครปฏิบัติไม่ถูกใจเราหน่อย

เพราะเราเป็นถึงผู้จัดการ

แต่เขากลับทำกับเราเหมือนกับเรา

เป็นพนักงานเช็ดกวาดถู เราก็จะรู้สึกไม่พอใจ

 แต่ถ้าเรารู้สึกเฉยๆ ถือว่าเป็นเรื่องของเขา

 สายตาของเขาเป็นอย่างนั้น

เขาจึงมองเห็นเราเป็นอย่างนั้น เขาไม่มีปัญญา

 มองไม่เห็นว่าเราเป็นผู้จัดการ ก็ช่วยไม่ได้

เขาจะมองว่าเราเป็นเด็กรับใช้ ก็ไม่เป็นไร

 เป็นความเห็นของเขา สายตาของเขา

 แต่เราก็รู้อยู่ในใจของเรา ว่าเราเป็นอะไร

ความเป็นอะไรของเรานี้ ไม่ได้หมายความว่า

จะต้องให้คนอื่นเขาเห็นตาม เขาจะเห็นอย่างไร

 เราก็ยังเป็นเราอยู่นั่นแหละ

ยิ่งปฏิบัติธรรมสูงขึ้นไปเท่าไร

 ความอิ่มความพอก็มีมากขึ้นไม่หิวไม่อยาก

ให้คนนั้นทำอย่างนั้นอย่างนี้กับเรา

เมื่อปฏิบัติถึงขั้นสูงสุดแล้ว

จะไม่มีความหิวความอยากกับอะไรเลย

 เคยได้ยินว่าคุณแม่แก้วมีคุณธรรมในจิตใจที่สูงมาก

 แต่เวลามีพระไปหาท่าน แม้จะเป็นพระบวชใหม่

ท่านก็ยังกราบไหว้ เพราะเป็นสมมุติ

ฆราวาสก็ต้องแสดงความเคารพต่อบรรพชิต

เราต้องรู้ทัน ต้องแยกแยะได้ว่า

โลกนี้มีทั้งสมมุติและวิมุตติ

 วิมุตติก็เป็นอย่างหนึ่ง

สมมุติก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง

หลวงตาท่านเคยเขียนไว้ในประวัติหลวงปู่มั่น

 ตอนที่ท่านตอบปัญหาเทวดา

เกี่ยวกับเวลาที่พระอรหันต์มาประชุมกัน

ท่านนั่งกันอย่างไร ท่านก็แสดงเป็นสองนัยด้วยกัน

 ถ้าเป็นแบบวิมุตติ ก็จะไม่ถือว่าใครสูงใครต่ำกว่ากัน

ใครมาก่อนจะนั่งข้างหน้าก็ได้ จะนั่งตรงไหนก็ได้

นั่งไปตามอัธยาศัย แล้วก็แสดงแบบสมมุติ

คือต้องนั่งไปตามลำดับพรรษา

ถึงแม้ตนจะเป็นพระอรหันต์ ถ้ามีพระที่อาวุโสกว่า

 ที่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์

 ตนก็จะไม่ไปนั่งข้ามหน้าข้ามตาท่าน

เวลาเดินบิณฑบาต

ก็ให้พระที่มีพรรษามากกว่า เดินนำไป

 ถึงแม้ตนเองจะเป็นพระอรหันต์

แต่พระที่เดินนำหน้าจะไม่เป็นพระอรหันต์

ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะรู้จักแยกแยะสมมุติ

กับวิมุตติออกจากกัน

วิมุตติเป็นเรื่องที่อยู่ในใจเราล้วนๆ

ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราเป็นอะไร

แต่รู้ว่าเราบวชมากี่พรรษาแล้ว

ก็ต้องปฏิบัติไปตามสมมุติ

 เหมือนลูกกับพ่อกับแม่ ลูกบางคนเป็นอภิชาตบุตร

 มีจิตใจที่สูงกว่าพ่อกว่าแม่ อย่างพระพุทธเจ้าเป็นต้น

 แต่ลูกก็ยังเคารพคุณพ่อคุณแม่อยู่

ไม่ได้ถือว่าตนฉลาดกว่า เก่งกว่า

 การเคารพพ่อแม่ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ยังมีอยู่

 แม้จะมีความรู้ ความฉลาด ความสามารถ

มากกว่าพ่อกว่าแม่ ก็แยกไว้เป็นเรื่องหนึ่ง

 คนเราสมัยนี้มักจะหลงตัวเอง พอเป็นใหญ่แล้ว

 กลับเห็นพ่อแม่เป็นคนไม่มีความหมายไป

 เหตุก็เป็นเพราะความหลงนี้เอง

 แต่คนที่มีปัญญาอย่างในหลวง

เวลาอยู่ส่วนพระองค์กับสมเด็จย่า

ก็ยังกราบสมเด็จย่า

 ทรงถือว่าเป็นพระมารดา

แต่เวลาที่ทรงเสด็จออกงาน

ก็ต้องประทับบนบัลลังก์

 สมเด็จย่าก็ทรงประทับอยู่ข้างล่างอย่างนี้เป็นต้น

สมมุติก็มีอยู่หลายระดับด้วยกัน

 เวลาออกงานก็แบบหนึ่ง เวลาอยู่บ้านก็แบบหนึ่ง

 ต้องทำไปให้ถูกกาลเทศะ ตามธรรมเนียมประเพณี

ไม่มีปัญหาอะไร เหมือนการเล่นละคร

เรื่องนี้เขาให้เป็นพระเอก แต่เรื่องหน้าเขาให้เป็นผู้ร้าย

ก็ต้องเล่นไปตามบท มันก็เป็นละครเท่านั้น

 ถ้าไม่ยึดไม่ติดกับบทแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไร

 เล่นได้ทุกรูปแบบ ให้เล่นเป็นขอทานก็ได้

เป็นคนรับใช้ก็ได้ เป็นมหาเศรษฐีก็ได้

 แล้วแต่จะเล่นเรื่องอะไร ขอให้จ่ายเงินให้เราก็แล้วกัน

เราเป็นเหมือนลูกจ้าง เขาจ้างให้ทำอะไร ก็ทำไป

นี่คือความหมายของการไม่ยึดไม่ติด

 แต่รู้ว่าอะไรสูงอะไรต่ำ อะไรดีอะไรชั่ว

อยู่ในเหตุการณ์ที่จำเป็น

จะต้องทำตามขั้นตอนก็ทำไป

 ไม่ได้คิดว่าเราวิเศษวิโส

 จะต้องปฏิบัติกับเราอย่างนั้นอย่างนี้

ถ้าเขาไม่รู้จักเรา เขาจะปฏิบัติได้อย่างไร

บางคนที่ปฏิบัติไม่ดีกับเรา เพราะเขาไม่รู้

 แต่พอมารู้เข้าทีหลัง ก็มาขอโทษขอโพย

 บอกว่าผมไม่รู้ว่าท่านเป็นใครก็มี

 แต่เราก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองตั้งแต่ต้นแล้ว

เพราะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องของโลกก็เป็นอย่างนี้แหละ

เรื่องสรรเสริญนินทามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง

 จึงต้องพร้อมที่จะรับกับทุกสภาพ

ถูกเหยียดหยามก็ได้ สรรเสริญก็ได้

ได้รับการต้อนรับอย่างดีก็ได้

ไม่แยแสปล่อยให้ทำเองทุกอย่างก็ได้ ก็แล้วแต่

ในเมื่อไม่ได้ไปหวังอะไรจากใครแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร

จึงขอให้เรามีความแน่วแน่มั่นคงกับพระพุทธศาสนา

 พยายามปฏิบัติไป เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว

ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นเดรัจฉาน เป็นนกเป็นกา

 ก็ปฏิบัติไม่ได้ อย่างมากก็ได้แต่อาศัยศาสนา

อยู่กินไปวันๆหนึ่งเท่านั้นเอง นี่เราไม่ได้เป็นนกเป็นกา

 เราเป็นมนุษย์ มีสติปัญญา

พอที่จะรับความรู้ของพระพุทธศาสนาได้

เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็ขอให้นำไปปฏิบัติ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

กัณฑ์ที่ ๒๒๙ วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๘

 (จุลธรรมนำใจ ๒)

“ความผิดหวัง”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :25 สิงหาคม 2559 Last Update :25 สิงหาคม 2559 11:02:11 น. Counter : 695 Pageviews. Comments :0