bloggang.com mainmenu search









“อัตตาตัวตน”

ถาม : มีวิธีไหนอุบายไหนที่จะลด

หรือกำจัดอัตตาอีโก้ของตัวเอง

พระอาจารย์ : ก็ทำตัวให้เป็นแจ๋ว รับใช้ผู้อื่น

 ไปทำงานสาธารณะประโยชน์

ไปโรงพยาบาลไปเป็นภารโรง

หรือทำงานอะไรที่ต่ำต้อย

 เพื่อเป็นการลดอัตตาตัวตนลงไป

 คือพระพุทธเจ้าบอกว่าให้ทำตัวเป็นปฐพี

 คือให้ต่ำที่สุด ลองไปปลอมเป็นขอทานดูสักวัน

 ลองไปหาเสื้อผ้าขาดๆแล้วก็ไปนั่งแถวข้างถนน

ที่เขามีขอทานแล้วลองไปเป็นขอทานดู

หรือมาบวชพระ บวชพระก็เป็นขอทาน

พระสมัยก่อนนี้เป็นขอทานยิ่งกว่าสมัยนี้

 สมัยนี้พระเป็นที่เขาศรัทธาเลื่อมใสแล้ว

แต่สมัยพุทธกาลนี้ เขายังไม่ค่อยเสือมใส

เขาก็เห็นว่าเป็นเหมือนขอทาน

หรือแม้แต่สมัยนี้

พวกฤาษีชีไพรที่อยู่ประเทศอินเดีย

 คนเขาก็ไม่ค่อยศรัทธาหรอก

 เพราะไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกัน

เพียงแต่ว่าตอนมาขอทานเขาก็ให้ไป

คือทำตัวให้ต่ำต้อย

ทำตัวให้เป็นเหมือนผ้าขี้ริ้ว ปฐพี

 แต่จะทำได้ก็ต้องลองไปทำจริงๆ ดู

อย่างเวลามาอยู่วัด ถ้าบวชนี้คนบวชใหม่

เขาจะให้เป็นเหมือนกับทหารเกณฑ์

ไม่ว่าจะมีฐานะเดิมเป็นอะไรมาก็ตาม

 จะเป็นใหญ่เป็นโตมาอย่างไร

 พอมาบวชปั๊บก็ถือว่าเป็นพระบวชใหม่

พระบวชใหม่ก็ต้องอยู่ท้ายแถว

 เดินบิณฑบาตก็ท้ายแถว นั่งฉันอาหารก็ท้ายแถว

 เราก็ต้องทำงานของพระบวชใหม่

ล้างส้วม ล้างกระโถนให้ครูบาอาจารย์

ซักจีวร กวาดถูศาลา ทำงานอะไรต่างๆ

อันนี้เป็นการฝึกให้ละตัวตน

มันมีหลายวิธีมันไม่ใช่แต่มีวิธีเดียว

 อันนี้ก็เป็นวิธีหนึ่ง วิธีที่จะถาวรก็ต้องภาวนา

 นั่งสมาธิทำใจให้สงบ

เวลาใจสงบนี้ใจไม่ได้คิดปรุงแต่ง

ตัวอัตตาตัวตนก็จะหายไปชั่วคราว

แล้วเราจะเห็นประโยชน์ของการไม่มีอัตตา

 เพราะว่าตอนนั้นจะเหลือแต่ตัวรู้ ตัวตนมันหายไป

เพราะสัญญา สังขารมันหยุดทำงาน

มันก็เลยไม่ได้คิดว่า มีตัวมีตน

เราก็จะได้รู้ตัวจริงของเราว่าเป็นตัวรู้นี่เอง

 แล้วต่อมาเราออกจากสมาธิมาเราก็นึกถึงตัวรู้นี้

 แล้วก็พยายามทำตัวเราให้เป็นเพียงแต่ตัวรู้ ให้รู้เฉยๆ

 อย่าไปว่าเรารู้ ให้รับรู้ แล้วอย่าไปมีความคิดปรุงเเต่ง

 เกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้ ให้รู้ว่ามันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ของเรา

 มันเกิดแล้วมันดับ มันมาแล้วไป

 ถ้าไปอยากให้มันอยู่กับเรา

ก็จะทุกข์เวลามันจากเราไป

อันนี้มันก็จะเห็นโทษของการมีตัวตน

 เพราะมีตัวตนก็จะมีตัวอยากขึ้นมา

พอมีอะไรเป็นของเราปั๊บนี้ก็มีตัวตนแล้ว

 แต่ถ้าเราดูว่าของที่เราดูอยู่นี้ไม่ใช่ของเรา

 เป็นของที่มีอยู่ใช้มันได้ ก็ใช้มันไป

ใช้ไม่ได้มันจะไปก็เรื่องของมัน

มันจะอยู่ก็เรื่องของมัน

ต่อไปมันก็จละตัวตนไปได้เอง

มันไม่ใช่ของง่ายเพราะมันเป็นกิเลสที่ลึกที่สุด

 ผู้ที่จะละตัวตนได้ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น

 พระโสดาบันนี้ ยังละตัวตนไม่ได้

เพียงแต่ละสักกายทิฏฐิความเห็นว่า

ตัวตนมีอยู่ในขันธ์ ๕ แต่ในจิตมันยังมีมานะอยู่

 มานะก็คือการถือตัวถือตนอยู่

พระอนาคาก็ไม่ได้ละตัวนี้

 ต้องพระอรหันต์เท่านั้นถึงจะตัวนี้ได้ .

....................

ถาม : แล้วการข่มคนอื่นนี้เป็นกิเลสของตัวไหนคะ

 ข่มว่าตัวเองเก่งว่าดีกว่า

พระอาจารย์ : ยกตนข่มท่านก็มานะนี่ไง

ถือว่าตนเองสูงกว่าเขาเท่าเขา

หรือต่ำกว่าเขาก็เป็นมานะ .

............

ถาม : โสดาบันก็ยังมี

พระอาจารย์ : มี อนาคามีก็ยังมี

 โสดาบันนี้มันเกี่ยวกับเรื่องร่างกาย

ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องใจ กิเลสในใจยังมีอยู่

กิเลสที่เกาะอยู่กับร่างกายนี้ถูกทำลายไป

ด้วยการเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ตัวตน

 ไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นเพียงดินน้ำลมไฟ

ส่วนพระอนาคามีก็ทำลายความอยาก

ที่จะมีร่างกายคนอื่นมาเป็นแฟน

ไม่ต้องมีแฟนไม่มีกามอารมณ์

 พระอนาคามีนี้ดับกามราคะ

พระโสดาบันดับสักกายทิฏฐิ

 ส่วนพระอรหันต์นี้ดับมานะ อวิชชา

 มันละเอียดขึ้นไปตามขั้นของมัน

กิเลสขั้นหยาบก็ขั้นของโสดาบัน

 ขั้นกลางก็ขั้นอนาคามี ขั้นละเอียดก็ขั้นพระอรหันต์.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๙





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :27 กันยายน 2559 Last Update :27 กันยายน 2559 9:30:34 น. Counter : 781 Pageviews. Comments :0