bloggang.com mainmenu search









“เรื่องของจิต”

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

ล้วนตรงกับความเป็นจริงทั้งสิ้น

 เพียงแต่ว่าพวกเรายังไม่มีปัญญา

ไม่มีดวงตาเห็นธรรม

 ที่จะเห็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นได้

เช่นเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องจิตวิญญาณ

เราไม่รู้ทั้งๆที่ตัวเรากับจิตวิญญาณ

ก็อยู่ด้วยกันมาตลอด

 ไปไหนก็ไปด้วยกันตลอดเวลา

 แต่เราไปหลงว่าจิตเป็นร่างกาย

 เลยไม่เห็นจิตวิญญาณ

 ไม่เห็นตัวจิต เพราะจิตกับร่างกาย

เป็นเหมือนน้ำกับขวด

 เวลาเทน้ำใส่เข้าไปในขวด

น้ำก็จะมีรูปเหมือนกับขวดไป

แต่ความจริงรูปร่างของน้ำ

ไม่ได้เป็นเหมือนกับขวด

 แต่ถ้าเอาไปใส่ในขวดกลมๆ

ก็จะเห็นว่าเป็นรูปกลมๆ

 ถ้าเอาไปใส่ในขวดเหลี่ยมก็จะเห็นเป็นรูปเหลี่ยม

เราก็เหมือนกัน เรามาเกิดเป็นมนุษย์

เราก็คิดว่าเราเป็นมนุษย์

 มีรูปร่างอาการ ๓๒ ของมนุษย์

ถ้าเราไปเกิดเป็นแมว เราก็คิดว่าเราเป็นแมว

มีรูปร่างของแมว คือจิตจะคิดว่าตัวมันเป็นอย่างนั้น

 แต่ความจริงตัวจิตไม่ได้เป็นรูปร่างอย่างนั้น

มันเพียงแต่อาศัยรูปร่างของร่างกายนี้

ของมนุษย์ก็ดี ของแมวก็ดี ของสุนัขก็ดี

เป็นพาหนะหรือเป็นเครื่องมือ ที่จะเอาไปใช้

ตามความอยากของกิเลสตัณหา

 กิเลสตัณหาเป็นตัวที่พาให้เรามาเกิด

 มันต้องการร่างกายนี้

เพื่อจะได้นำไปสู่สิ่งที่มันต้องการ

 สิ่งที่กิเลสต้องการก็คือ

 รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

 เรียกว่ากามคุณ ๕ ที่เรามาเกิดในโลกนี้

ก็เพราะกามตัณหาเป็นผู้พามา

 เพราะจิตยังมีความผูกพันอยู่กับ

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

 ทั้งที่เป็นส่วนหยาบและส่วนละเอียด

ถ้าเป็นส่วนหยาบก็ต้องมีร่างกาย

 เช่นร่างกายของมนุษย์

หรือร่างกายของสัตว์เดรัจฉานเป็นเครื่องมือ

เหมือนกับกล้องถ่ายรูป

เราอยากจะมีรูปไว้เป็นที่ระลึก

เราก็ต้องมีกล้องถ่ายรูป

ถ้าเราอยากจะมีเสียงไว้เป็นที่ระลึก

 เราก็ต้องมีเครื่องอัดเสียง

จิตก็เช่นเดียวกัน ถ้าจิตอยากจะสัมผัส

รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ก็ต้องมีร่างกาย

ร่างของมนุษย์ ร่างของเดรัจฉาน

 ก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรม

 ได้ร่างของมนุษย์ก็เพราะได้รักษาศีลมา

 ถ้าไม่ได้รักษาศีล เช่นทำแต่ทานอย่างเดียวไม่รักษาศีล

 ก็จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานที่สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์

มีรูปร่างสวยงาม ใครเห็นใครก็อยากจะเอาไปเลี้ยง

 เช่นสุนัขที่เราไปซื้อมาแพงๆ ตัวละหลายพันบาท

เพราะมีรูปร่างสวยงาม

 สุนัขตัวนั้นถ้าพูดเปรียบเทียบทางธรรมะก็หมายถึงว่า

 เขาเคยทำทานมา แต่ไม่ได้รักษาศีล

 อานิสงส์ของการให้ทานท่านก็แสดงไว้ว่า

จะทำให้มีโภคทรัพย์สมบูรณ์

มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม

 ผิวพรรณงดงาม แต่ถ้าไม่ได้รักษาศีล

ก็จะไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม

 มีโภคทรัพย์ เกิดบนกองเงินกองทอง

แต่ไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ได้อยู่กับเศรษฐี

เป็นสุนัขที่มีรูปร่างสวยงาม

 ถ้าอยากจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์

ได้อยู่บนกองเงินกองทอง มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม

 ผิวพรรณผ่องใส ก็ต้องรักษาศีลและทำทานด้วย

หรือไม่เช่นนั้นก็จะได้ไปเกิดเป็นเทวดา

นี่เป็นเรื่องของจิตที่มาเกิดในกามภพ

 ซึ่งเป็นภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์

 คือโลกของมนุษย์กับโลกของเทวดา

ส่วนภพที่มีความทุกข์มากกว่าความสุข ก็คืออบาย

ภพของสัตว์เดรัจฉาน

 ของเปรต ของอสุรกาย ของสัตว์นรก

 จิตพวกนี้จะมีความรุ่มร้อน

มีความทุกข์มากกว่ามีความสุข

 เหตุที่ทำให้มีความรุ่มร้อนและมีความทุกข์มาก

ก็เพราะไม่รักษาศีล ๕ นั่นเอง ทำผิดศีลอยู่เรื่อยๆ

 ก็เลยต้องไปเกิดในอบายทั้ง ๔

เหตุที่ทำให้ไปเกิดเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด

ก็ขึ้นอยู่กับเหตุที่ทำให้ผิดศีล ท่านแสดงไว้ว่า

ถ้าผิดศีลเพราะความไม่รู้คือความหลง

ไม่รู้ว่าการทำผิดศีลนี่เป็นบาปเป็นกรรม

คือทำไปด้วยความจำเป็น

 เช่นต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

 เลยต้องไปยิงนกตกปลา

เป็นนายพราน เป็นชาวประมง

ซึ่งเขาก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องเสียหายอะไร

 เพราะเป็นเรื่องจำเป็น

เขาไม่รู้ว่าเมื่อเขาตายไปแล้ว

เขาจะต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉาน

เพราะความไม่รู้ทำให้ทำผิดศีล

พวกที่ไปเกิดเป็นเปรตนี้

 ทำผิดศีลไม่ใช่เพราะความจำเป็น

 เพราะมีพอกินพอใช้อยู่แล้ว

ไม่ทำผิดศีลก็ไม่อดตาย

 แต่ทำไปเพราะความโลภ อยากจะมีมากๆ

 อยากจะร่ำรวยมากๆ ก็เลยคดโกง

ด้วยวิธีต่างๆนานา

 พวกนี้ถ้าตายไปก็ต้องไปเป็นเปรต

 ได้เท่าไรไม่รู้จักพอ

 ได้กี่ร้อยล้าน กี่พันล้านก็ไม่พอ มีปากเท่ารูเข็ม

 มีท้องเท่ากับทะเลหรือมหาสมุทร

กินเข้าไปเท่าไรก็ไม่อิ่มสักที เพราะความโลภพาไป

ความโลภไม่มีขอบไม่มีเขต ไม่มีคำว่าพอ

ได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ อยากจะได้เรื่อยๆ

ถ้าทำผิดศีลเพราะความโลภ ก็จะไปเกิดเป็นเปรต

ถ้าทำด้วยความโลภแต่ไม่ผิดศีล

 ก็ยังกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อยู่

เพราะได้รักษาศีลไว้

ถึงแม้จะโลภแต่ไม่ทำผิดศีล

ขยันทำมาหากิน ค้าขาย

 ได้เงินได้ทองมามากมายก่ายกอง

แต่ก็ยังอยากจะได้มากๆ ก็ทำต่อไปอีก

 แต่ไม่ทำผิดศีล ก็ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรต

ยังกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้

 แต่จะกลับมาแล้วรวยกว่าเก่าหรือไม่

ก็ขึ้นอยู่ว่าได้ทำทานไว้มากน้อยเพียงไร

 ถ้าไม่สนใจในเรื่องทำทานเลย

 ชาติหน้ากลับมาเป็นมนุษย์ก็จะจนกว่าเก่า

แต่ถ้าทำทานอยู่เรื่อยๆ สะสมทานบารมีไปเรื่อยๆ

ก็จะรวยกว่าเก่า อย่างที่พระพุทธเจ้า

ได้ทรงบำเพ็ญทานบารมีมา

 ในแต่ละภพแต่ละชาติ จึงส่งให้พระองค์ได้ประสูติ

ในแต่ละภพแต่ละชาติที่ร่ำรวย

เป็นโอรสของกษัตริย์บ้าง

 เป็นเศรษฐีบ้าง ก็เพราะอำนาจของทานบารมี

ที่ได้ทรงบำเพ็ญมา

ส่วนพวกที่ทำผิดศีลด้วยความกลัว

ก็ต้องไปเกิดเป็นอสุรกาย

 ที่มีแต่ความหวาดกลัว วิตก กังวล

กลัวความอดอยากขาดแคลน

กลัวความตกทุกข์ได้ยาก กลัวความลำบาก

 ก็เลยต้องไปลักไปขโมย เผื่อไว้ก่อน

 ทั้งๆที่ในปัจจุบัน ก็มีพอมีพอกินพอใช้

 แต่ห่วงโน่นห่วงนี่เกินเหตุเกินผลไป

 ไม่กล้าสู้กับความยากความลำบาก

ที่ไม่เหนือวิสัยของจิตที่จะต่อสู้ได้

เพราะชีวิตของคนเราไม่ช้าก็เร็ว

 ก็ต้องเจอด้วยกันทุกคน

 กับความยากความลำบาก

 เช่นความแก่ ความเจ็บ ความตาย

 จึงไม่ควรให้ความยาก ความลำบากนี้

 เป็นเหตุผลักดันให้ไปทำผิดศีลผิดธรรม

เราสามารถตั้งอยู่ในศีลในธรรมได้

 ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า

ให้สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ

ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต

 ให้สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม ธรรมก็คือศีลธรรมนี่เอง

ถ้าให้เลือกระหว่างการฆ่าผู้อื่นกับให้ผู้อื่นฆ่าเรา

ก็เลือกให้เขาฆ่าเราดีกว่า

เพราะยังไงๆก็ต้องตายด้วยกันทั้งคู่ ไม่ช้าก็เร็ว

 แต่ถ้าเราฆ่าเขาเราผิดศีล

 ตายไปก็ต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉาน

 เพราะต้องรักษาชีวิตของเราไว้

ไม่ได้ฆ่าเพราะความกลัว ความโกรธ หรือความโลภ

 แต่ฆ่าเพราะอยากจะอยู่ อยากจะรักษาชีวิตของเราไว้

เหมือนกับนายพรานที่ไปยิงสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ

ก็จะเป็นในลักษณะเดียวกัน

 เมื่อตายไปแล้วก็ต้องไปเกิดที่ต่ำ

 แต่ถ้าปล่อยให้เขาฆ่าเรา ตายไปเราก็ไปเกิดที่สูง เ

พราะไม่ผิดศีล อาจได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลก็ได้

ถ้าได้พิจารณาเห็นว่าเกิด แก่ เจ็บตายเป็นธรรมดา

เช่นพระโสดาบันที่มีดวงตาเห็นธรรม

เห็นว่าสิ่งใดที่มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

ย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา

ร่างกายของเราก็เป็นอย่างนั้น

 มีการเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องมีความแก่ มีความเจ็บ

มีความตายเป็นธรรมดา

 ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น

 แล้วเมื่อเราต้องมาเลือก

ระหว่างการที่จะแก่ จะเจ็บ จะตาย

 ด้วยการมีศีลหรือด้วยการไม่มีศีล

ก็ให้เลือกเอาวิธีที่มีศีลดีกว่า เพราะไม่ขาดทุน

 ภพหน้า ชาติหน้าจะดีกว่าเก่า

หรืออาจจะดีในชาตินี้เลยก็ได้ เมื่อจิตใจปลงได้ตัดได้

 เห็นไตรลักษณ์ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของร่างกาย

 ก็จะไม่ทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย

ไม่ต้องทำบาปทำกรรม นี่คือเรื่องของกรรม

ที่พวกเราทำกันอยู่ทุกวันนี้

 อยู่ที่สัมมาทิฐิหรือมิจฉาทิฐิจะพาให้ทำ

 พวกเราถึงแม้จะได้ยินได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา

 รู้ว่าสัมมาทิฐิเป็นอย่างไร แต่พอต้องเอามาใช้จริงๆ

ก็ยังรู้สึกว่ายาก อย่างวันนี้ที่อธิบายให้ฟังว่า

 ให้สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม ฟังแล้วก็คงจะอุทานโอ้โฮ!

ถึงขนาดนั้นเลยหรือ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

กัณฑ์ที่ ๒๓๑ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๘

 (จุลธรรมนำใจ ๒)

“เรื่องของจิต”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :24 สิงหาคม 2559 Last Update :24 สิงหาคม 2559 11:35:36 น. Counter : 809 Pageviews. Comments :0