bloggang.com mainmenu search









“ฉลาดทางโลก”

เดี๋ยวนี้ความรู้ความสามารถของมนุษย์เรา

ก็ฉลาดขึ้น เก่งขึ้น

 แต่มันฉลาดไปในทางที่ไม่ควรจะฉลาด

ทางที่ฉลาดมันกลับไม่ฉลาด ฉลาดไปในทางกิเลส

ฉลาดไปในทางความโลภ มันก็ยังไม่สามารถ

ที่จะ มาทำให้เราสบายใจได้ตลอดเวลา

 เราก็ยังมีความไม่สบายใจอยู่เหมือนเดิม

เพราะว่าสิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจ พวกเราไม่รู้กัน

ว่ามันอยู่ที่ไหน ก็คิดว่ามันอยู่ที่เหตุการณ์ต่างๆ

เช่นรถติด มันก็ทำให้เราไม่สบายใจ

ถ้าเราจะรีบมาหรือมาไม่ทันเวลา

รถติดอะไรต่างๆ มันก็ทำให้เราไม่สบายใจได้

 เราก็เลยต้องผลิตสื่อนำทาง

 ให้มันเลือกทางให้กับเรา

 เพื่อเราจะได้สบายใจ

มาสถานที่ที่เราต้องการตามเวลา

 หรือมาได้สะดวกรวดเร็ว

แต่บางทีมันก็อาจจะมีเหตุการณ์

เกิดขึ้นก่อนที่มันไม่สามารถคำนวนได้

 เช่นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตามทาง

 ซึ่งไม่มีใครที่จะมาอัพเดทได้ทันทีทันใด

ก่อนออกจากบ้านเดินทางมาทุกอย่างก็เคลียร์ดีอยู่

 แต่พอมาถึงไปเจอ อุบัติเหตุขึ้นก็ติดรถไปไม่ได้

ถ้ารีบไปอยากจะไปให้ถึงที่หมายตามเวลาเดิม

ก็จะเกิดความหงุดหงิดรำคาญใจขึ้นมา

 เพราะไม่รู้ว่าความหงุดหงิดรำคาญใจ

เกิดจากความอยากของเรา

ที่อยากจะไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง

 ตามเวลาที่เราต้องการ ถ้าจะไม่ให้หงุดหงิดรำคาญใจ

ก็ต้องยินดีตามมีตามเกิด ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง

ถึงเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเราก็จะไม่เดือดร้อน

ใจเราจะสบาย จะทำอย่างไรได้ก็ไปไม่ถึง

จะไปเดือดร้อนใจก็ไปไม่ถึงอยู่ดี

นี่คือปัญหาของพวกเราที่พวกเรามักจะมองไม่เห็นกัน

 มักจะไม่มาแก้กัน แก้ที่ใจเราแล้วสบาย

ไม่ต้องไปแก้ที่ข้างนอก ข้างนอกจะเป็นอย่างไร

 เราก็รับกับเหตุการณ์ได้เสมอ ไปไม่ถึงก็ไม่เป็นไร

 ไปช้าก็ช้า สุดแท้แต่ความจริง

ให้เรามองความจริงกันอย่าไปมองความอยาก

 ความอยากกับความจริง ถ้ามันตรงกัน ก็สบายใจ

 เราก็ดีใจ อยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

พอมันเป็นเราก็ดีใจสบายใจ

 แต่ถ้ามันไม่ตรงกัน เราอยากให้มันเป็นอย่างนี้

แต่มันเป็นอย่างนั้น เราก็จะเสียใจหรือไม่พอใจ

แต่ถ้าเราอยากให้มัน เป็นไปตามความเป็นจริง

ความเป็นจริงมันเป็นอย่างไรก็เอาอย่างนั้นแหละ

 เป็นอย่างไรก็เอาอย่างนั้น ช้าก็ช้า เร็วก็เร็ว ถึงก็ถึง

 ไม่ถึงก็ไม่ถึง ติดก็ติด ไม่ติดก็ไม่ติด

เอามันได้ทุกรูปแบบ เอาตามความเป็นจริง

 ขอให้เราอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง

แล้วเราจะมีความสุข เราจะไม่มีความทุกข์

เราต้องปรับใจของเรา อยู่เรื่อยๆ

ให้มันอยู่กับความจริง

 แต่ใจเรามันไม่ชอบอยู่กับความจริง

มันชอบอยู่กับความอยาก ชอบอยู่กับความเพ้อฝัน

มันก็เลยทำให้ไม่สบายใจอยู่เรื่อยๆ

นี่คือสิ่งที่มนุษ
ย์ไม่เคยสนใจศึกษากัน

 ชอบไปแก้ความจริง

 ความจริงนี้เป็นอย่างต่ความอยากเป็นอย่างนี้

 ก็เลยต้องไปแก้ความจริงให้มันมาเป็นตามความอยาก

 ความจริงสมัยก่อน ประเทศไทยมีป่าไม้

อยู่ ๗๐ - ๘๐เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ นั่นคือความจริง

แต่ความอยากเราไม่ต้องการป่าไม้ เราต้องการถนน

 เราต้องการตัดป่า เพื่อที่จะไปขาย

ไปเอาเงินมาซื้อรถยนต์

 สมัยก่อนสินค้าส่งออกของเมืองไทยก็คือป่าไม้นี่แหละ

ไม้นี่แหละเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่เราส่งออกไปเมืองนอก

เพื่อที่จะได้เเลกซื้อของจากเมืองนอกมา

 เราอยากจะได้รถยนต์ เราผลิตไม่ได้แต่เรามีป่าไม้

 เราก็ตัดไม้กันไป ขายไม้กัน

 ตอนนี้ป่าไม้เหลือไม่ถึงร้อยละ ๕๐

ก็คงจะตัดไปเรื่อยๆ

 เพราะเราไม่มีความอยากมีป่ากัน

เราอยากจะมีตึกรามบ้านช่อง

 เราอยากจะมีสินค้าต่างๆ

ที่มาอำนวยความสะดวกทางร่างกาย

และอำนวยสะดวกตามความอยากของเรา

 เราอยากได้อะไรเราก็ทำมันไป

ตามความอยากของมัน

 อยากเดินทางสะดวกรวดเร็ว

 เราก็สร้างถนนหนทางกัน

 ซื้อรถยนต์กัน แล้วเราก็มาติดกันบนท้องถนน

เพราะทุกคนอยากเหมือนกัน

แต่ท้องถนนนี้มันไม่พอรองรับ

กับความอยากของพวกเรา

 การซื้อรถยนต์นี้มันเร็วมันง่ายกว่าการสร้างถนน

ถนนสร้างไม่ทัน สร้างกี่ถนน

มันก็ไม่ทันปริมาณของรถยนต์

ที่มันเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนงูกินหาง

 มันจะเลื้อยไปกัดหางตัวมันเองหางมันก็หนีมันไปเรื่อยๆ

หัวมันเลื้อยไปหาหาง หางมันก็หนีไปเรื่อยๆ

ไม่มีวันที่จะกินหางของมันเองได้ นี่ก็คือไม่มีอะไร

ที่จะตอบสนองความอยากของเราให้พอได้

 อยากได้เท่าไรมันก็ไม่พอสักที

นี่คือความรู้ ความสามารถของมนุษย์

เหมือนความรู้ความสามารถของงู

ที่พยายามที่จะไปกินหางของมัน

หรือคนที่ชอบเดินตะครุบเงา

 อยากจะเดินให้มันไปอยู่เร็วกว่าเงานี้เป็นไปไม่ได้

จะไปอยู่ข้างหน้าเงานี้เป็นไปไม่ได้

เดินไล่เงาไปเท่าไรเงามันก็เดินหนีเราไปเท่านั้น

ทำตามความอยากเท่าไร

 ความอยากมันก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ

 มันไม่มีวันสิ้นสุด แล้วถ้าอยากแล้วก็จะไม่มีคำว่าสุข

 เวลาอยากนี้หงุดหงิดรำคาญใจ

อยากจะไปแต่รถมันติด ก็หงุดหงิดรำคาญใจขึ้นมา

 อยากจะให้เขาทำอย่างนั้นทำอย่างนี้

เขาไม่ทำก็หงุดหงิดรำคาญใจขึ้นมา

 เพราะทำให้เสร็จก็อยากจะให้เขาทำอย่างนั้นต่ออีก

ทำให้เสร็จแล้วก็ไม่พออีก อยากจะให้เขาทำอย่างนั้นต่อ

 แล้วใครจะมาตอบสนองความอยากของเราได้

นอกจากคนรับใช้เท่านั้นเอง เขาทำได้

เพราะเรามีเงินให้เขา

 ถ้าเราให้เงินไม่พอความอยากของเขา

 เขาก็ไม่ทำอีกแหละ

มันก็ตั้งอยู่บนความอยากด้วยกัน

ถ้าเราอยากให้เขาทำก็จ่ายเงินซิเขาก็ทำให้

ถ้าจ่ายไม่พอเขาก็ไม่ทำให้ เพราะเขาอยากจะได้

มากกว่าที่เราจ่ายให้

เขาไม่ได้เขาก็ไม่พอใจเหมือนกัน เขาก็ไม่ทำ

โลกนี้มันถูกความอยากดันไปผลักไป

 ผลักไปเท่าไรมันก็ไปไม่ถึงคำว่าพอ

เพราะคำว่าอยากกับคำว่าพอนี้ มันอยู่ตรงกันข้ามกัน

 เหมือนกับความมืดกับความสว่างนี้มันอยู่ด้วยกันไม่ได้

 กลางคืนกับกลางวันนี้

มันอยู่พร้อมกันได้ไหมในที่เดียวกัน

มันอยู่คนละที่ได้ ตอนนี้ที่นี่กลางวัน

แต่ที่อเมริกามันกลางคืน

 แต่ในที่เดียวกันมันอยู่พร้อมกันไม่ได้

 ถ้ามันไม่มืดก็ต้องแจ้ง ถ้ามันไม่มืดก็ต้องสว่าง

 ถ้ามันไม่อิ่มมันก็ไม่พอ ถ้ามันพอมันก็อิ่ม

ถ้ามันหิวมันก็ไม่พอ ถ้ามันพอมันก็ไม่หิว

 ถ้ามันอยากก็แสดงว่ามันหิวมันก็ไม่พอ

ถ้าอยากจะพอก็หยุดความอยากเสียมันก็พอแล้ว

อันนี้เป็นหลักตรรกะง่ายๆ ตรงไปตรงมา

ความอยากมันจะพอไม่ได้

ถ้ามันอยากก็แสดงว่ามันไม่พอ

 ถ้ามันไม่พอมันจะสุขได้อย่างไร

คนเราจะสุขก็สุขเพราะว่ามันพอ

รับประทานอาหารจนรับประทานไม่ลงมันก็พอแล้ว

 พอแล้วมันก็สุขแล้ว

เพียงแต่ว่ามันสุขชั่วคราวเท่านั้นเอง

 เดี๋ยวพออาหารหมดจากท้องไปแล้ว

มันก็อยากขึ้นมาใหม่

 มันก็หิวใหม่แล้วก็ต้องรับประทานใหม่

ความสุขผ่านทางร่างกายมันก็จะเป็นความสุขชั่วคราว

 รับประทานอะไรมันก็พอมันก็สุขชั่วคราว

 แล้วเดี๋ยวมันก็จางหายไป

แล้วก็เกิดความอยากจะรับประทานขึ้นมาใหม่

 ความสุขทางร่างกายนี้

จะไม่มีวันทำให้เราพบกับความพอ

 ดูเท่าไร ฟังเท่าไร รับประทานเท่าไร ดื่มเท่าไร

 มันก็พอเดี๋ยวเดียว แล้วเดี๋ยวมันก็ต้องการอีกแล้ว

อยากอีกแล้ว มีที่เดียวเท่านั้นที่จะพอก็คือที่ใจเรา

เป็นที่เดียวที่เราสามารถ ทำให้มันพอได้

 ถ้ามันพอแล้วมันก็จะสุขมันจะสบาย

 แล้วมันก็จะสบายไปเรื่อยๆ สุขไปเรื่อยๆ

ถ้าเรารู้จักวิธีทำให้มันพอ มันก็จะพอไปเรื่อยๆ

แล้วมันไม่ต้องมีอะไรมาทำให้มันพอ มันดีตรงนี้

 ความพอของร่างกายนี้ต้องมีสิ่งนั้นสิ่งนี้มาทำให้พอ

 แต่มันก็ทำให้พอเพียงเดี๋ยวเดียว

 แล้วเดี๋ยวมันก็ไม่พอขึ้นมาอีก ก็ต้องหาสิ่งใหม่มาเติม

 เติมให้พออยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าเราทำใจเราให้พอแล้ว

เราก็จะไม่ต้องมีอะไรมาทำให้เราพอ

ไม่มีอะไรในโลกนี้จะทำให้เราพอได้

 ต่อให้เราได้มากน้อยเพียงไรก็ตาม มันไม่พอ

 เดี๋ยวมันก็อยากได้ขึ้นมาอีก

ไม่อยากได้สิ่งนี้ก็อยากจะได้สิ่งอื่นแทน

 ถ้าสิ่งนี้มีมากเกินไปแล้ว ก็อยากจะได้สิ่งอื่น

 แล้วถ้าไม่ได้ก็เสียใจ หรือไม่พอใจไม่สบายใจ

 ได้ก็อยากจะได้สิ่งอื่น นี่คือความอยาก

 มันจะพาให้เราไปสู่ความไม่พออยู่เรื่อยๆ

 ความไม่พอก็คือความไม่สุขนั่นเอง

 แต่สิ่งที่จะทำให้เราก็คือความสงบ ความสงบของใจ

อันนี้ดีกว่าเทคโนโลยีทั้งหมดในโลกนี้

ดีกว่าจีพีเอสดีกว่ารถยนต์ที่จะพาเราไปไหนมาไหน

 ถ้าเราไม่อยากไปเสียอย่างแล้ว

ของพวกนี้มันจะมีความหมายอะไร

รถยนต์มันจะมีความหมายอะไร ถ้าเราไม่ต้องการมัน

 เราพอใจจะอยู่กับที่แล้ว พอใจจะอยู่ตรงนี้

จะเอารถยนต์ไปทำไม จะเอาน้ำมันไปทำอะไร

 จะเอาจีพีเอสไปทำอะไร เกะกะเปล่าๆ รกรุงรัง

 วุ่นวายไปเปล่าๆ ได้มาแล้วก็ต้องดูแลรักษามันอีก

ต้องล้างรถ ต้องหาที่เก็บ ต้องซื้อประกัน

 ต้องเติมน้ำมัน ต้องซ่อมบำรุง เดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนยาง

เดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง

มีภาระมีเรื่องให้ทำอยู่ตลอดเวลา

 แล้วถ้าทำไม่ได้ก็ปวดหัวอีก

นี่คือความสุขที่พวกเราหากัน

อยากไปไหนก็ต้องมีรถยนต์

 อยากจะไปสะดวกรวดเร็วก็ต้องมีเครื่องไม้

 เครื่องมือมาช่วยเสริม

 มันก็มีอะไรมาตอบสนองความอยาก

ของเราอยู่เรื่อยๆ แต่มีเท่าไร

ความอยากของเรา มันก็ไม่หมดไป

 ถ้ามาได้เร็วขนาดนี้

คราวหน้าก็อยากจะมาให้มันเร็วกว่านี้

เดี๋ยวก็ต้องมีวิธีผลิตรถยนต์ ที่วิ่งเร็วกว่านี้

วิธีที่จะไปไหนมาไหนได้เร็วถ้าทำได้ก็ดีก็คือ

ย่อตัวเราย่อรถเราให้มันเล็กเหมือนกับมด

 มันจะได้ไม่กินที่ถนนมาก ถนนนี้จะได้วิ่งรถได้ทีละเยอะๆ

 แล้วรถก็ยังได้วิ่งความเร็วได้เท่ากับขนาดความเร็ว

 ต่อไปทำอย่างนี้ได้ก็สบายไม่ต้องไปสร้างถนน

ก่อนจะออกจากบ้าน

ก็ย่อรถยนต์ย่อคนขับให้เล็กเท่ากับมด

 แล้วก็วิ่งไปตามท้องถนนมันก็ไม่กินที่กัน

เดี๋ยวนี้เขาก็มีคนคิดวิธีเดินทางกันแปลกๆ

เดี๋ยวนี้มีคิดวิธีทำท่อวิ่งกัน แทนที่จะทำถนนก็ทำท่อ

เหมือนท่อที่เราใช้กับรถยนต์ใต้ดิน

 รถไฟใต้ดินมันก็เป็นท่อ

 แต่นี่จะเป็นท่อความเร็วสูง เร็วกว่าเครื่องบินอีก

 ความอยากมันไม่มีสิ้นสุด ต่อไปเครื่องบินก็จะเร็วขึ้น

จากกรุงเทพฯไปแอลเอนี้ อาจจะแค่ชั่วโมงเดียว

แทนที่จะ ๑๐ กว่าชั่วโมง แต่มันก็เหมือนกัน

ไปเร็วไปช้าใจมันก็ยังร้อนเหมือนเดิม

 มันไม่ร้อนกับเรื่องนี้มันก็ไปร้อนกับเรื่องอื่น

มันมีเรื่องให้ร้อนอยู่เรื่อยๆ

 เพราะความอยากนี้เป็นเชื้อไฟของใจ

 ใจเราร้อนเพราะความอยาก

 ใจเราเย็นเพราะไม่มีความอยาก.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๙






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :10 สิงหาคม 2559 Last Update :10 สิงหาคม 2559 13:25:18 น. Counter : 597 Pageviews. Comments :0