bloggang.com mainmenu search









“อย่าเสียดายความสุขทางร่างกาย”

ถ้าเป็นชาวพุทธอย่างแท้จริงนี่

จะปฏิบัติตามกันอย่างเคร่งครัด

 และจะได้รับอานิสงส์จากการปฏิบัติตาม

ก็คือได้ดับความทุกข์ตามกำลังของการปฏิบัติ

ได้รับอานิสงส์อย่างน้อยที่สุด

ก็จะไม่ต้องไปเกิดในอบาย

คือถ้ารักษาศีล ๕ ได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์

ตายไปก็ไม่ต้องไปเกิดในอบาย

ไม่ต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรตเป็นผี

ไม่ต้องไปตกนรก ถ้ารักษาศีลเพียงอย่างเดียว

ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้เลย

 ถ้าได้ทำทานด้วยก็จะได้ไปเกิดเป็นเทพชั้นต่างๆ

ถ้าภาวนาทำใจให้สงบเป็นสมาธิได้

ก็จะเป็นพรหมขั้นต่างๆ

ถ้าเจริญปัญญาวิปัสสนา พิจารณาไตรลักษณ์

พิจารณาอริยสัจ ๔ ได้ ตัดกิเลสตัณหา

ความโลภความโกรธความหลง ความอยากต่างๆได้

ก็จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ

ขั้นที่ ๑ ก็คือขั้นพระโสดาบัน

 ขั้นที่ ๒ ก็คือพระสกิทาคามี

ขั้นที่ ๓ ก็คือพระอนาคามี

ขั้นที่ ๔ ก็คือขั้นพระอรหันต์

ซึ่งเป็นผลที่ชาวพุทธในสมัยพระพุทธกาลนี้

 ได้รับกันเป็นจำนวนมาก จนถือเป็นเรื่องปกติ

ไม่เหมือนกับสมัยนี้

การที่จะได้บรรลุผลต่างๆเหล่านี้นั้น

 กลับกลายเป็นของแปลกประหลาดไป

เป็นของที่ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้กัน

เพราะมีผู้ที่ปฏิบัติและบรรลุผลนี้มีจำนวนน้อยนั่นเอง

นี่แหละคือ เรื่องของพระพุทธศาสนา

 เรื่องของพวกเราที่เป็นพุทธศาสนิกชน

พวกเราควรที่จะเปรียบเทียบดู

ในสมัยพระพุทธกาลกับในสมัยปัจจุบัน

 ว่าทำไมพวกเราจึงไม่สามารถที่จะบรรลุ

มรรคผลนิพพานขั้นต่างๆได้

มีอะไรเป็นอุปสรรค มีอะไรเป็นปัญหา

 ถ้าเราพิจารณาเราก็อาจจะแก้ปัญหา แก้อุปสรรคได้

และทำให้เราได้รับผล

ได้รับมรรคผลนิพพานกันได้

 ในสมัยพระพุทธกาล ก็มีพระพุทธเจ้า

มีพระอรหันตสาวก เป็นครูเป็นอาจารย์

และผู้ที่ศึกษาก็มีศรัทธามีความเชื่อ

ศึกษาอย่างจริงจัง ปฏิบัติอย่างจริงจัง

ผลก็เลยปรากฏขึ้นมาอย่างจริงจัง

สมัยนี้ถึงแม้ว่าจะไม่มีพระพุทธเจ้าแล้วก็ตาม

 แต่พระองค์ก็ทรงตรัสไว้ว่า

 พระธรรมวินัยที่พระองค์ได้ตรัสสอนไว้แล้วนั้น

จะเป็นศาสดาแทนพระองค์ต่อไป

เราก็ยังไม่อยู่โดยปราศจากศาสดา

คือเราก็มีพระไตรปิฎก มีพระธรรมคำสั่งสอนต่างๆ

 พระสูตรสำคัญต่างๆที่เราสามารถที่จะศึกษา

 และปฏิบัติตามได้

เราเป็นชาวพุทธเราเคยอ่าน พระสูตร

ของพระพุทธเจ้ากันบ้างหรือเปล่า

พระสูตรก็คือคำสอน เช่น ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

 อนัตตลักขณสูตร สติปัฏฐานสูตร มงคลสูตร

 นี่คือพระสูตรสำคัญๆ ที่เป็นแก่นของพระพุทธศาสนา

 เราเป็นชาวพุทธเราต้องรู้จักพระสูตรเหล่านี้

ถ้าเรารู้เราก็จะสามารถที่จะปฏิบัติตามได้

ที่เราไม่ปฏิบัติตามก็เพราะว่าเราไม่รู้กัน

เราไม่ได้ศึกษากัน

ฉะนั้นเราต้องแก้ปัญหาที่ตรงนี้

คือเราต้องพยายามศึกษาพระสูตรสำคัญๆ

ของพระพุทธเจ้า

อันนี้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่เราจะยังศึกษา

 พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้

 อีกวิธีหนึ่งก็ศึกษากับพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

พระที่ได้บรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว

ถ้าเรารู้ว่าที่ไหนมีพระอย่างนั้นอยู่

เราก็ไปศึกษากับท่านเหล่านั้น เมื่อเราได้ศึกษา

 เราก็จะได้รู้ว่าเราต้องปฏิบัติอะไรกันบ้าง

เมื่อเราได้ศึกษาแล้วมันก็อยู่ที่ตัวเราแล้ว

 ทีนี้ว่าเราจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ

เหมือนกับเราไปรับยาจากหมอแล้ว

อยู่ที่ว่าเราจะรับประทานยาหรือไม่รับประทานยา

 ถ้าไม่รับประทานยา

ต่อให้ไปหาหมอกี่ร้อยกี่พันครั้ง

โรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่มีวันหายได้

สู้อย่าไปให้เสียเวลาดีกว่า

 ถ้าไปรับยามาแล้ว

ก็ต้องนำเอายานั้นไปรับประทาน

 เพราะเมื่อรับประทานยาแล้ว ยาจะได้ทำหน้าที่

รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้

โรคภัยไข้เจ็บก็จะหายได้อย่างแน่นอน

เพราะยานี้ได้รักษาโรคมากับคนไข้

เป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านแล้ว

มีผู้ที่บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นจำนวนมากมาย

นับตั้งแต่สมัยพระพุทธกาล

มาจนถึงสมัยปัจจุบันนี้แล้ว

 ไม่น่าจะสงสัยว่ายานี้รับประทานแล้ว

จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้หรือไม่

เหมือนกับเวลาที่เราไม่สบาย

 เราไปหาหมอที่โรงพยาบาล

 หรือไปซื้อยาตามร้านขายยา

พอเราซื้อมาแล้วเรารีบรับประทานกันเลยใช่ไหม

 เพราะเราเชื่อประสิทธิภาพของยา

พอรับประทานเข้าไปแล้ว

ไม่กี่วันก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บ

 แต่ทำไมยาอันวิเศษ ที่จะรักษาโรค

ที่รักษาได้ยากแสนยากนี้ กลับไม่รับประทานกัน

เป็นยาที่นานๆจะมีผู้ที่ผลิตออกมาจำหน่ายสักครั้งหนึ่ง

คือนานๆจะมีพระพุทธศาสนามาปรากฏ

ให้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลกสักครั้งหนึ่ง

 แล้วทำไมเราจะไม่รีบกัน

 สมมุติว่ามีบริษัทยา ผลิตยารักษาโรคเอดส์

 หรือรักษาโรคมะเร็ง ให้หายขาดได้นี้

 เราจะซื้อมารับประทานกันหรือไม่

ถ้าเราเป็นโรคเอดส์ ถ้าเราเป็นโรคมะเร็ง

เราต้องซื้อมาอย่างแน่นอน

เสียเงินเท่าไหร่เราก็ยอมเสีย

 เพราะว่าเงินทองนั้นมันไม่มีค่าเท่าชีวิตของเรา

 เงินทองเราเสียไปหมดไป เราได้ชีวิตกลับมา

 เราก็ยังสามารถหาเงินทองใหม่มาได้

 แต่ถ้าเสียชีวิตไปเงินทองที่มีอยู่เราก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี

เราก็ควรจะคิดอย่างนั้นกับจิตใจของเรา

 ว่านานๆทีเราจะได้มาเจอยารักษาโรคของใจ

คือโรคของความทุกข์ใจนี้ให้หายขาดได้

ทำไมเราจะมาเสียดายเงินเล็กๆน้อยๆ

ที่เราสามารถที่จะหาเมื่อไหร่

ก็หาได้ ตายจากภพนี้ไป

 เดี๋ยวก็กลับมาเกิดใหม่

ก็มาหาความสุขแบบนี้ อีกก็ได้

 แต่ชาตินี้เป็นชาติที่เราได้มาเจอ ยารักษาโรคใจ

ที่นานๆจะมีสักครั้งหนึ่ง ทำไมเราไม่ยอมรักษากัน

ทำไมยังเสียดายเวลา ของการหาความสุข

ทางร่างกายกันอยู่

ทำไมยังเสียดายกับการหาความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ทำไมรักษาศีล ๘ กันไม่ได้

 ถ้ารักษาศีล ๘ ไม่ได้

ก็แสดงว่ายังเสียดายความสุขทางร่างกายอยู่

 ยังไม่ยอมรักษาโรคทางใจกัน

 ยังไม่ยอมรับประทานยา

 ศีล ๘ นี้ก็เป็นยารักษาโรคใจ

ผู้ที่อยากจะรักษาโรคใจให้หายขาดนี้

 จำเป็นจะต้องรักษาศีล ๘ ขึ้นไป

ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ และศีล ๓๑๑ ข้อ

 ศีล ๘ ก็ศีลของอุบาสกอุบาสิกาหรือแม่ชี

ศีล ๑๐ ก็ของสามเณร

 ศีล ๒๒๗ ก็ของพระภิกษุ

ศีล ๓๑๑ ก็ของพระภิกษุณี

ถึงแม้ว่าสมัยนี้จะไม่มีพระภิกษุณี

 ถ้าเราอยากจะเป็นภิกษุณี ใครจะห้ามเราได้

ภิกษุณีอยู่ที่ตรงไหน อยู่ที่โกนหัวห่มผ้าสีเหลือง

 หรือว่าอยู่ที่มีศีล ๓๑๑ ข้อนี้

ถ้าเราอยากจะเป็นภิกษุณี

เราก็ไปอ่านศึกษาดูสิว่า

ภิกษุณีรักษาศีลกี่ข้อกัน มีอะไรบ้าง

 เราก็รักษามันไป

ไม่เห็นจำเป็นจะต้องโกนหัวห่มผ้าเหลือง

 ให้คนเขามารับรองมาเคารพนับถือเราเลย

เพราะการบวชนี้

ไม่ได้มาบวชเพื่อให้คนมานับถือเรา

เหมือนกับการกินยานี่

ไม่ได้กินยาเพื่อให้คนเขามานับถือเรา

 ว่าเราเป็นคนดี เชื่อฟังหมอ

หมอให้ยามาก็กินยาตามหมอสั่ง

 มันไม่ได้กินยาเพื่อแบบนั้นใช่ไหม

เรากินยาเพื่อรักษา

โรคภัยไข้เจ็บของเราให้หายไป

ใครเขาจะมาชื่นชมยินดี

กับการกินยาของเราหรือไม่

เราก็ไม่สนใจ ฉันใด

การเป็นภิกษุณีก็เป็นได้กันทุกคน

 ปัจจุบันนี้ก็เป็นได้ แต่ไม่เห็นจำเป็นว่า

จะต้องให้มีการรับรองเป็นทางการ

 ต้องให้รัฐบาลมารับรอง

 ต้องให้สถาบันสงฆ์มารับรอง

 ไอ้นั่นมันเป็นเปลือกทั้งนั้น ไอ้ตัวเนื้อทำไมไม่เอา

 ทำไมเราไม่รับรองตัวเราเอง

ถ้าเรารักษาศีลของภิกษุณีครบถ้วน

 เราก็เป็นภิกษุณี

 เราก็รับรองตัวเราเองได้

 ไม่เห็นต้องให้คนอื่นมารับรอง

 แล้วใครได้รับประโยชน์

จากการรักษาศีลได้ครบถ้วนบริบูรณ์

 คนที่รับรองเราหรือเราผู้ปฏิบัติ ใช่ไหม

ทำไมเราไม่คิดกันอย่างนี้ ถ้าคิดกันอย่างนี้

ตอนนี้เราก็เป็นภิกษุณีกันได้

อย่ามาอ้างว่าเกิดมาเป็นผู้หญิง เสียเปรียบผู้ชาย

ผู้ชายบวชได้แต่ผู้หญิงบวชไม่ได้

 นี่แสดงว่าไม่รู้ความหมายของคำว่าบวช

 ว่าแปลว่าอะไร.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

กัณฑ์ที่ ๔๗๘ วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๗

“ธรรมโอสถ”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :17 สิงหาคม 2559 Last Update :17 สิงหาคม 2559 23:06:13 น. Counter : 622 Pageviews. Comments :0