bloggang.com mainmenu search









“ป่าไม้”

ต่อไปสถานที่ปฏิบัติธรรมจะอยู่ในป่าสงวน

 อยู่ในป่าอนุรักษ์ เพราะจะไม่มีป่าเหลือ

 ถ้าไม่มีป่าก็จะไม่มีธรรม

 ที่เกิดของธรรมก็คือป่านี่เอง

เป็นที่เกิดของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์

ของพระพุทธศาสนา

ป่าจึงเป็นสถานที่สำคัญ ไม่ว่ายุคใดสมัยใด

 ต้องมีสถานที่สงบสงัดวิเวก

ห่างไกลจากแสงสีเสียง

ห่างไกลจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 เพราะรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี้

เป็นยาเสพติดดีๆนี้เอง

ที่ทำให้สัตว์โลกต้องเวียนว่ายตายเกิด

 เพื่อกลับมาเสพ

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะอยู่เรื่อยๆ

ผู้ปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้น

ต้องคำนึงถึงข้อนี้เป็นสำคัญ

อยู่ใกล้แสงสีเสียงไม่ได้

ใกล้รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะไม่ได้

ต้องสำรวมอินทรีย์

สำรวมตาหูจมูกลิ้นกายเวลาอยู่ใกล้

สำรวมก็คือต้องห้าม ต้องบังคับใจ

ไม่ให้ไปหาไปเสพ ถ้าอยู่ใกล้ก็อย่าเสพ

 ถ้าได้ยินก็ได้ยินเฉยๆ ถ้าเห็นก็เห็นเฉยๆ

ถ้าไม่เฉยก็ต้องหนีไปอยู่ไกลๆ

 ใช้สติช่วยดึงใจไว้ บริกรรมพุทโธๆไป

 เช่นเวลาไปตามศูนย์การค้า

ก็ควรบริกรรมพุทโธๆไป เหมือนเดินจงกรม

ให้คิดว่าร้านค้าต่างๆเป็นเหมือนต้นไม้

เป็นเหมือนป่า

 เวลาไปเดินป่าจะไม่เกิดอารมณ์

 เกิดความโลภเกิดความอยาก

 เวลาไปเดินตามศูนย์การค้า

เนื่องจากต้องซื้อสิ่งของต่างๆ

ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ

 เช่นกับข้าวกับปลาอาหาร

ก็ต้องควบคุมความอยากให้ได้

ให้คิดว่ากำลังหาอาหาร หาผักหาผลไม้

 ส่วนสิ่งอื่นอย่าไปอยากได้

นี่คือวิธีปฏิบัติถ้ายังต้องอยู่ใกล้กับแสงสีเสียง

 ใกล้กับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

เพื่อไม่ให้เกิดอารมณ์ เกิดความอยาก

 วิธีที่ดีที่สุดก็คือสั่งทางโทรศัพท์ ไม่ต้องไปเอง

 เดี๋ยวนี้มีร้านค้าบริการส่งสินค้าต่างๆ

 ผ่านทางโทรศัพท์ เสียเงินดีกว่าเสียใจ

 เงินเป็นของต้องเสียอยู่แล้ว

เวลาตายก็ต้องเสียไปหมด

แต่เวลาเสียใจเอากลับคืนมายากมาก

 จึงต้องรักษาใจต้องสงวนใจ

 เหมือนเป็นลูกสุดที่รักเลย

ไม่ให้แสงสีเสียงมาพรากลูกเราไป

ต้องหวง ไม่ให้ใครมาเอาลูกเราไปง่ายๆ

ต้องรักใจเหมือนรักสามีรักภรรยา

ต้องหวงต้องห่วงใจ

อย่าไปหวงไปห่วงสามีไปห่วงภรรยา

 เพราะเขาไม่ได้เป็นของเรา

 หวงอย่างไรห่วงอย่างไร เขาก็ต้องจากเราไป

แต่ใจไม่มีวันจากเราไป ใจอยู่กับเราไปตลอด

 ถ้าไม่หวงไม่ห่วง ก็จะได้ใจที่ไม่ดี ใจจะเสีย

 จะเป็นเหมือนคนติดยาเสพติด

ที่ต้องหาแสงสีเสียง

 หารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะมาเสพอยู่เรื่อยๆ

 จึงควรหนีจากแสงสีเสียง

จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะไปให้ได้

ควรตั้งเป็นเป้าหมายของชีวิตเลย

 ต้องอยู่ปราศจากแสงสีเสียง

 ปราศจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

เพราะเป็นยาเสพติดดีๆนี้เอง

ที่จะดึงให้ใจเวียนว่ายตายเกิดอยู่เรื่อยๆ

 ไม่มีวันที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้เลย

ต้องสำรวมอินทรีย์ เริ่มต้นด้วยการรักษาศีล ๘

 อยู่ที่บ้านก็รักษาได้ ไม่ต้องไปที่วัด

 ไม่ต้องไปปลีกวิเวก ถ้าเราตั้งเป้าไว้แล้ว

จะไม่เป็นสิ่งที่ยากเกินไป

เรื่องการรักษาศีล ๘ นี้ คือไม่ได้หมายความว่า

ตั้งแล้วก็ต้องทำทันที แต่ตั้งไว้เพื่อเป็นแนวทาง

ที่จะได้ก้าวไปสู่จุดนั้น

 เช่นศีลข้อ ๓ ถ้าตอนนี้ยังรักษาไม่ได้

 เพราะยังมีสามีมีภรรยา ก็ให้มีวันหยุดบ้าง

 เช่นวันพระก็หยุดสัก ๑ วัน

หรือมากกว่านั้นก็ได้

 เช่นรักษาอาทิตย์ละ ๖ วัน

 แทนที่จะรักษาอาทิตย์ละ ๑ วันก็เอา ๖ วันเลย

 เก็บไว้ ๑ วันหนึ่งให้กิเลส ถ้ายังมีคู่ครอง

 เวลาไม่มีคู่ครองต้องอยู่คนเดียว

จะอยู่ได้อย่างสบาย

 ควรตั้งเป้าสู่การรักษาศีล ๘ ให้ได้มากที่สุด

 ให้รักษามากกว่าการไม่รักษา

 อย่างน้อยเดือนหนึ่งก็ต้องรักษา ๑๕ วันขึ้นไป

ตอนเริ่มต้นใหม่ๆก็รักษาเดือนละ ๔ วัน

อาทิตย์ละวัน วันพระถือศีล ๘

ต่อไปก็เพิ่มเป็นอาทิตย์ละ ๒ วัน

อาทิตย์ละ ๓ วันเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

จะได้ก้าวหน้า

ไม่ต้องทำทันทีให้เต็มร้อย

ค่อยๆเพิ่มไปทีละเล็กทีละน้อย

 ก้าวไปวันละก้าวจะง่ายกว่าวันละร้อยก้าว

ถ้าไม่คิดริเริ่มเลย ก็จะไม่มีวันเริ่ม

 ก็จะติดอยู่ที่เดิม จะไม่เจริญก้าวหน้า

นี่คือการปฏิบัติสำหรับผู้ที่ยังมีคู่ครอง

ควรรักษาศีล ๘ อย่างน้อยก็อาทิตย์ละ ๑ ครั้ง

 แล้วค่อยเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ

เวลารักษาศีล ๘ ก็ต้องภาวนา

ให้มากกว่าวันที่ไม่ได้รักษา

 เช่นวันที่ต้องไปทำมาหากินทำงานทำการ

 ก็จะมีเวลาเฉพาะตอนเช้า

และตอนค่ำก่อนหลับนอน

ก็นั่งสมาธิ สัก ๓๐ นาที สัก ๑ ชั่วโมง

 ถ้าจะอ้างว่าไม่มีเวลา ก็ต้องหาเวลา

 เพราะเวลามีเท่ากัน วันละ ๒๔ ชั่วโมง

ถ้าไม่มีเวลาภาวนาก็แสดงว่า

เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ก็ต้องสำรวจดู

ว่าเอาไปทำอะไรบ้าง

ถ้าไปทำกับแสงสีเสียงก็ควรลดลงมา

 เช่นดูหนังดูละคร แทนที่จะดู ๒ ชั่วโมง

 ๓ ชั่วโมง ก็ดู ๑ ชั่วโมง ดูสิ่งที่มีประโยชน์

 เช่นข่าวสารเหตุการณ์ต่างๆ

 ตัดเรื่องบันเทิงไป

จะได้มีเวลาภาวนามากขึ้น

 ถ้าเป็นวันหยุดทำงาน

ก็ถือศีล ๘ ตัดไปหมดเลย

 เรื่องข่าวสารเรื่องบันเทิง

ดูหนังสือธรรมะแทน

ฟังเทศน์ฟังธรรมแทน

 เดินจงกรมนั่งสมาธิ

สลับกับการทำภารกิจที่จำเป็น

 กวาดบ้านถูบ้าน

ทำอาหารรับประทานอาหาร

ทำตารางขึ้นมาว่าวันหยุดนี้

จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับจิตใจ

 ถ้าไม่ทำตารางพอถึงเวลาก็จะไม่ได้ทำ

 เช่นตื่นขึ้นมาก็นั่งปฏิบัติธรรม ๑ ชั่วโมง

 หลังจากนั้นก็ดูแลรักษาร่างกาย

 อาบน้ำแปรงฟัน รับประทานอาหาร

 เสร็จแล้วก็เดินจงกรม พอเมื่อยก็นั่งสมาธิ

 ออกจากสมาธิก็ดูหนังสือธรรมะ

หรือฟังเทศน์ฟังธรรม

 เวลาก่อนเที่ยงก็รับประทานอาหาร

 หลังจากเที่ยงวันก็จะไม่รับประทานอาหาร

 ต่อจากนั้นก็เดินจงกรม

 เสร็จแล้วก็พักสัก ๑ ชั่วโมง

 ทำตารางไว้เลย ถ้าทำตามได้

ก็จะก้าวไปข้างหน้า ก้าวไปด้วยการปฏิบัติ

 ด้วยการกระทำ

จึงต้องคอยดูการกระทำอยู่เสมอ

ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่

กำลังทำประโยชน์ให้กับใจหรือเปล่า

 ถ้าไม่ทำตารางการปฏิบัติ

ปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์

 รับรองได้ว่าจะไม่ได้ปฏิบัติ

 จะไปเปิดตู้เย็นเสียมากกว่า

 เปิดตู้เย็นแล้วก็ไปเปิดทีวี

เปิดทีวีแล้วก็ไปหาหมอน

ตื่นขึ้นมาก็เปิดตู้เย็นใหม่เปิดทีวีใหม่

 ต้องบังคับตัวเอง ต้องมีวินัย

ถ้าไม่มีวินัยจะไม่เจริญก้าวหน้า

ต้องคำนึงถึงผลที่จะได้รับ

จากการควบคุมบังคับตน

ก็คือมรรคผลนิพพาน ไม่มีอะไรจะวิเศษ

เท่ากับมรรคผลนิพพาน

ทำงานนี้เสร็จแล้ว

จะสบายไปตลอดอนันตกาล

ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป

ไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่

 ไม่ต้องกลับมาดิ้นรน

ทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

 หาเงินหาทองมาซื้อความสุข

ไม่ต้องทุกข์กับความแก่ความเจ็บความตาย

 มีแต่ความสุขตลอดเวลา

 ไม่มีความทุกข์เลย

 ถ้าคิดอย่างนี้แล้วจะมีกำลังใจ

 มีความกล้าหาญ มีความเข้มแข็ง

มีความพากเพียร มีความอดทน

ที่จะพาไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์

ไปสู่ความสุขที่ถาวรที่ยั่งยืน

เริ่มจากการปฏิบัติที่บ้าน

เพราะอยู่บ้านตลอดเวลา

ถ้าจะไปปฏิบัติที่วัด

 พอไปถึงวัดก็หมดแรงแล้ว

พอปฏิบัติเข้าร่องเข้ารอย
ก็ต้องกลับบ้าน

 เหมือนกับรถพอวิ่งได้หน่อยหนึ่งก็ต้องจอด

 ต้องกลับบ้าน จึงควรปฏิบัติที่บ้านไปก่อน

ไม่อย่างนั้นจะไม่มีเวลาปฏิบัติ

เอาเวลาที่ใช้ไปกับพวกบันเทิง

 ถ้าเอามาไม่ได้หมดก็แบ่งมาสักครึ่งก่อน

 สละละครไปสัก ๑ หรือ ๒ เรื่อง

ละครน้ำเน่าดูไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร

เรื่องโลภโกรธหลง อิจฉาริษยา

อาฆาตพยาบาท ผิดศีลผิดธรรม

 ดูไปทำไม ไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา

 เกิดความเบื่อหน่ายสลดสังเวช

 ดูธรรมะอ่านหนังสือธรรมะดีกว่า

ภาวนาดีกว่า ถ้าทำแล้ว

ก็จะเจริญก้าวหน้าไปตามลำดับ

ต่อไปถ้าปฏิบัติที่บ้านแล้ว

รู้สึกว่ามีอุปสรรคมาก

 ก็ต้องไปอยู่ที่วัดบ้าง

เพราะอยู่ที่บ้านจะมีธุระนั้นธุระนี้

 มีเรื่องนั้นเรื่องนี้มารบกวน

 มาคอยแย่งเวลาไป

 ถ้าปฏิบัติได้ผลบ้างแล้วจะเห็น

คุณค่าของการปฏิบัติ

และเห็นโทษของการทำภารกิจที่ไม่จำเป็น

 เช่นการหาเงินหาทองมากเกินความจำเป็น

ก็เป็นโทษ ไม่ได้เป็นประโยชน์

 เป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ

ถ้าเอาไปเที่ยว เอาไปซื้อความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็เหมือนไปซื้อยาเสพติด

 น้อยนักที่จะเอาไปทำประโยชน์

เช่นเอาไปทำบุญ

ถ้าไม่มีเงินจะทำบุญก็ไม่ต้องทำ

 ไม่ต้องเสียเวลาไปทำบุญ

 เอาเวลามาภาวนาเพื่อบุญที่ใหญ่กว่า

 มากกว่าบุญที่ได้จากการทำบุญให้ทาน

 เอาเวลามารักษาศีล ๘ ดีกว่า

มาภาวนากันดีกว่า

ตัดเวลาหาเงินให้น้อยลงไป

 อย่ามีเงินมาก มีเวลามากจะดีกว่า

เวลามีคุณค่ากว่าเงินทอง

ถ้ารู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์นี้

เวลามีคุณค่ากว่าเงินทอง

เป็นหมื่นล้านแสนล้าน

เพราะเงินทองหมื่นล้านแสนล้าน

ดับความทุกข์ไม่ได้

แต่เวลาที่ใช้ปฏิบัติธรรมนี้

ดับความทุกข์ได้

เวลาจึงมีคุณค่าต่างกัน

อยู่ที่การใช้เวลาว่าใช้ไปในทางไหน

 มีคุณก็ได้ มีโทษก็ได้

มีโทษถ้าไปดูละคร ไปดื่มสุรา ไปเที่ยว

ไปหาเงินหาทองมากเกินไป

ถ้าหามาดูแลร่างกายก็เป็นคุณกับร่างกาย

 ถ้าหามากเกินไป หาเพื่อให้ร่ำรวย

ก็จะเป็นโทษกับจิตใจ

 เพราะจะเสริมกิเลสตัณหา

ให้มีกำลังมากขึ้น

 ถ้ามีกิเลสตัณหามากขึ้น

ก็จะมีเวลาปฏิบัติธรรมน้อยลง

 กิเลสตัณหาจะเอาเวลาไปหมด

ไปหาเงินต่อ ได้เงินมา

ก็เอาไปซื้อความสุขต่างๆ

การใช้เวลาจึงมีผลต่างกัน

ใช้ให้เกิดคุณก็ได้ ใช้ให้เกิดโทษก็ได้

 ถ้าใช้ปฏิบัติธรรม

ก็จะเป็นคุณประโยชน์ที่สูงสุด

อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงใช้มา

ทรงใช้เวลาเพียง ๖ ปี ก็ได้ทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่

ทรัพย์ที่มีคุณค่ายิ่งกว่าเงินทอง

หมื่นล้านแสนล้าน ได้ทรัพย์ภายใน

 ได้อริยทรัพย์

ได้พระนิพพานที่เป็นปรมังสุขัง

 ไม่มีทรัพย์อะไรในโลกนี้

ที่จะซื้อปรมังสุขังได้

 ต่อให้ซื้อรถแสนคันล้านคัน

ก็จะไม่ได้ความสุขของพระนิพพาน

 ต่อให้สร้างปราสาทราชวัง

ใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม

ก็จะไม่ได้ความสุขของพระนิพพาน

คนโง่จึงสร้างสมบัติภายนอก

สร้างปราสาทราชวัง สร้างอะไรต่างๆ

 แต่ใจร้อนยิ่งกว่าไฟ ทุกข์ยิ่งกว่านรก

สิ่งต่างๆในโลกนี้ดับความทุกข์ใจไม่ได้

มีพระนิพพานเท่านั้น

ที่ดับความทุกข์ใจได้อย่างสนิท

ได้อย่างถาวร

 การภาวนาเป็นเครื่องมือ

ที่จะดับความทุกข์ได้อย่างถาวร

ทุกเวลานาทีที่ใช้ไปกับการภาวนา

 เป็นคุณเป็นประโยชน์กับใจทั้งหมดเลย

 มีคุณค่าราคามาก

 ปฏิบัติธรรมเพียง ๕ นาที

ก็เหมือนกับได้เงินมา ๑๐๐ ล้านแล้ว

คิดดูก็แล้วกัน จะมัวไปหาเงินทองทำไม

วันหนึ่งทำงานแทบเป็นแทบตาย

ได้เงินมาสักกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้าน

ได้มาแล้วดับความทุกข์ใจได้หรือเปล่า

 นั่งสมาธิเพียง ๕ นาที

ใจเย็นสบายกว่าสุขกว่าได้เงิน

เป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน

 นี่เป็นสิ่งที่เราต้องคิดกัน ต้องเปรียบเทียบ

เพื่อจะได้ใช้เวลา

ให้เกิดคุณประโยชน์อย่างสูงสุด

พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลา ๖ ปี

ก็ได้พระนิพพานมา

 หลังจากที่ได้พระนิพพานแล้ว

 พระองค์ก็ทรงสามารถช่วยผู้อื่น

ให้ได้พระนิพพานได้เร็วกว่าพระองค์เอง

 เพราะไม่มีใครสอนพระองค์

 ไม่มีใครบอกวิธี

ที่ให้ได้พระนิพพานอย่างรวดเร็ว

 แต่พอพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว

ทรงสอนไม่ถึงนาทีก็ได้แล้ว

มีศรัทธาท่านหนึ่งอยากจะฟังธรรม

ในขณะที่ทรงบิณฑบาต

พระองค์ก็ทรงตรัสว่า

ไม่ใช่เวลาที่จะสอนธรรมะ

 เขาก็ขอร้องให้ทรงสอนสั้นๆ

ก็ทรงตรัสไปว่า

ให้สักแต่ว่ารู้ เห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น

ได้ยินอะไรก็สักแต่ว่าได้ยิน

ไม่ให้มีอารมณ์เกิดขึ้นจากการเห็น

จากการได้ยิน ให้รู้เฉยๆ

 เท่านั้นเขาก็สำเร็จแล้ว

 แสดงว่าเขามีคุณธรรม

พร้อมที่จะรับกับธรรมะอันยิ่งใหญ่นี้

ถ้าเปรียบเหมือนกับคนที่มาขออาหาร

 ก็มีภาชนะมารองรับ

พอตักอาหารใส่ภาชนะ

 เขาก็รับได้หมดเลย

 พอรับประทานก็อิ่มเลย

 แต่พวกเรานี้ ฟังกันแล้วฟังกันอีก

 ก็ยังไม่เคยอิ่มกันเลย

เพราะไม่มีภาชนะมารองรับ

ภาชนะที่จะรองรับปัญญา

 ก็คือสมาธิ คือศีล คือทาน

จึงต้องทำทานก่อน ทำทานแบบจริงๆจังๆ

ทำให้หมดเลย ไม่ใช้เงินทองซื้อความสุข

 ตั้งสัจจาธิษฐานว่าต่อไปนี้

จะไม่ใช้เงินซื้อความสุข

 จะใช้เงินซื้อปัจจัย ๔ เท่านั้น

ของอย่างอื่นจะไม่ซื้อ เก็บเงินไว้ซื้อปัจจัย ๔

ถ้าไม่ได้บวช แต่ต้องตั้งกฎไว้เลยว่า

 จะไม่เอาเงินไปซื้อความสุข

ไม่ซื้อรูปเสียงกลิ่นรส

เช่นเห็นกระเป๋าเห็นเสื้อผ้าแล้วอยากได้

 อย่างนี้ก็เป็นรูป

 ได้ดมกลิ่นน้ำหอมก็อยากจะซื้อ

อย่างนี้ก็คือกลิ่น

 เห็นเครื่องดื่มชนิดต่างๆ

 เห็นขนมนมเนยก็อยากจะซื้อ

อย่างนี้ก็คือรส

ต้องไม่ซื้อรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ซื้อแต่อาหาร ซื้อแต่น้ำดื่ม

ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ

เสื้อผ้าถ้ามีพอแล้วก็ไม่ต้องซื้อ

ซื้อต่อเมื่อจำเป็น ไม่พอใช้จริงๆ

 จะตัดกิเลสได้เยอะเลย จะมีเวลารักษาศีล ๘

 มีเวลาภาวนานี่คือเจตนาของการทำทาน

ต้องการให้หยุดใช้เงิน ถ้าหยุดใช้เงินได้

ก็หยุดหาเงินได้ หรือหาเท่าที่จำเป็น

 ทำงานปีเดียวก็หยุดได้สิบปี

ถ้าเอาเงินมาใช้ซื้อปัจจัย ๔ เท่านั้น

 เช่นซื้ออาหาร

อาหารก็ต้องแบบมักน้อยสันโดษเรียบง่าย

ถ้าอาหารราคา ๕๐ บาทกินแล้วอิ่ม

 ทำไมต้องซื้ออาหารราคา ๕๐๐ บาท

ถ้าอิ่มเหมือนกัน ดับความหิวได้เหมือนกัน

 รักษาสุขภาพของร่างกายได้เหมือนกัน

อย่างนี้ฉลาดหรือโง่ ซื้อของแพงทำไม

 ได้คุณประโยชน์เท่ากัน

ของมาจากที่เดียวกัน มาจากตลาด

 แต่เวลาขายทำไมราคาต่างกัน

 ขายที่หนึ่งราคาแพงกว่าอีกที่หนึ่งเป็น ๑๐ เท่า

ของมาจากที่เดียวกัน

มาจากตลาดเหมือนกัน

แล้วก็เข้าไปสู่ที่เดียวกัน

 คือเข้าไปในท้องเหมือนกัน

ต้องคิดบ้างสินักปฏิบัติ ศิษย์ตถาคต

 ผู้ปราดเปรื่องด้วยปัญญา อย่าให้กิเลสหลอก

 พอทำให้ดูสวยงาม ก็อยากจะรับประทานแล้ว

 ราคาเท่าไหร่ไม่ว่า

 ยอมเสียยอมหมดเนื้อหมดตัว

ไม่คิดถึงเวลาเข้าไปในปากบ้าง

 ว่าเป็นอย่างไร

 ประดับประดาสวยงามขนาดไหน

 พอเข้าไปขบเคี้ยวอยู่ในปาก

ผสมกับน้ำลายเราแล้วเป็นอย่างไร

สวยงามไหม ต้องคิดอย่างนี้

ถึงจะปราบกิเลสได้ ปราบความหลงได้

 จะได้ใช้เวลาที่มีคุณค่าให้เกิดคุณค่าจริงๆ

 ตอนนี้เราใช้เวลาให้เกิดโทษกับใจเรา

ไม่ได้เกิดคุณเกิดประโยชน์เลย

 มัวแต่หาเงินเพื่อมาใช้ ใช้หมดก็หาใหม่

วนกันไปอยู่อย่างนี้

อยู่ในวัฏจักรแห่งการหาเงินใช้เงิน

 แล้วเมื่อไหร่จะหลุดออกมาได้

ต้องหยุดใช้เงินเท่านั้นถึงจะหลุดออกมาได้

 ใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

กัณฑ์ที่ ๔๕๒ วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

 (จุลธรรมนำใจ ๓๒)

“ป่าไม้”





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์ สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :28 ตุลาคม 2559 Last Update :28 ตุลาคม 2559 5:14:17 น. Counter : 1659 Pageviews. Comments :0