bloggang.com mainmenu search








“ยารักษาใจ”

ถ้าเราทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

คือ ให้ระลึกถึงความแก่ ความเจ็บ ความตายอยู่เรื่อยๆ

ให้ระลึกถึงการสูญเสีย

ถึงการพลัดพรากจากกันอยู่เรื่อยๆ

ถ้าเราระลึกอยู่เรื่อยๆ นี้เราจะไม่หลงงมงาย

อยู่กับความสุขของลาภยศ สรรเสริญ

ความสุขของตา หู จมูก ลิ้น กาย

 เพราะเรารู้ว่าไม่ช้าก็เร็ว

 สักวันเราจะไม่สามารถที่จะหาความสุขเหล่านี้ได้

เวลาร่างกายแก่ เวลาร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย

เป็นอัมพฤกษ์เป็นอัมพาต พิกลพิการ

แขนขาขาขาดหูหนวกตาบอด หรือเวลาตายไป

 จะไปหาความสุขได้อย่างไรในเมื่อเครื่องมือที่เราใช้

คือร่างกายของเรา มันหมดสภาพไปแล้ว

หรือไม่เช่นนั้นก่อนที่ร่างกายมันจะหมดสภาพ

ก่อนที่มันจะแก่ เจ็บ ตาย

บางทีเงินทองมันก็หมดไปก่อนก็ได้

 ยศอาจจะหมดไปก่อนก็ได้

 สรรเสริญก็อาจจะหมดไปก่อนก็ได้

 รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่เราใช้เสพอยู่

ก็อาจจะหมดไปก่อนก็ได้ เช่น สามีของเรา ภรรยาของเรา

เขาก็เป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ดีๆนี่เอง

ที่เราใช้เขามาเสพ แต่พอวันดีคืนดี เขาทิ้งเราไป

หรือเขาตายไปนี้ เราจะเอาอะไรมาเสพ

นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ที่พวกเราไม่ยอมดูกัน ไม่ยอมพิจารณากัน

 ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้าแล้วหมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ

 ว่าเราเกิดมาแล้วย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา

ย่อมมีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา

 ย่อมมีความตายเป็นธรรมดา

ย่อมมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา

 ถ้าเราพิจารณาอยู่เนืองๆ เราจะได้ไม่หลงระเริง

และไม่ยึดไม่ติดอยู่กับสิ่งต่างๆ เช่น ร่างกาย

เราจะเตรียมตัวเตรียมใจอยู่แบบไม่มีร่างกาย

 คือไม่ใช้ร่างกาย เราจะอยู่ด้วยการมาหาความสงบกัน

 เพราะถ้าเรามีความสงบแล้ว

ความสงบนี้ไม่ต้องอาศัยร่างกาย

ความสงบนี้อาศัยสติ อาศัยธรรม

ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเราเจริญกัน

ให้เจริญสติอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนหลับ

ถ้ามีสติแล้วเราจะสามารถดึงใจให้เข้าสู่อัปนาสมาธิได้

 ให้ใจสงบวางเฉยเป็นอุบกขาได้ ให้ใจมีแต่ความสุขได้

โดยที่ไม่ต้องใช้ร่างกาย

ร่างกายแก่ก็สามารถทำใจให้สงบได้

ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยก็สามารถทำใจให้สงบได้

ร่างกายตายก็ยังสามารถทำใจให้สงบได้

 ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดเลย

เพราะไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือนั่นเอง

ความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ใช้สติเป็นตัวหลัก

 แล้วก็ใช้ปัญญาเป็นผู้มารักษาให้อยู่ไปอย่างถาวร

ขั้นต้นต้องใช้สติก่อน

เพราะสตินี้ง่ายกว่าปัญญาหลายร้อยหลายพันเท่า

สติเพียงแต่ระลึกคำว่า พุทโธๆไป

เพียงคำเดียวนี้ก็เป็นสติขึ้นมาแล้ว

ส่วนปัญญานี้มันยากกว่า มันต้องพิจารณา

ให้เห็นอนิจจังว่าเป็นอย่างไร

ให้เห็นว่าทุกขังเป็นอย่างไร

 ให้เห็นว่าอนัตตาเป็นอย่างไร

ถึงจะสามารถที่จะมีปัญญาได้

 แต่ถ้ามีปัญญาแล้วจะสามารถรักษาความสงบ

ที่เกิดจากการเจริญสติได้ให้อยู่ไปอย่างถาวร

 โดยที่ไม่ต้องดูแลรักษา

 โดยที่ไม่ต้องใช้สติคอยประคับประคอง

แต่ถ้าได้ความสงบจากสติเพียงอย่างเดียว

 ก็ต้องคอยประคับประคองไปตลอดเวลาด้วยสติ

 เวลาใดเผลอปล่อยให้ความอยากมารุมเร้า

ปล่อยให้ไปทำตามความอยากต่างๆ

 ความสงบที่ได้จากการประคับประคองด้วยสติจะหายไปหมด

 แล้วความทุกข์ความวุ่นวายใจต่างๆ ก็จะเข้ามาแทนที่ทันที

 แต่ถ้ามีปัญญาแล้วนี้ และกำจัดตัณหาต่างๆ

ที่เป็นตัวก่อกวนให้เกิดความวุ่นวายใจต่างๆ

ให้หมดไปได้แล้ว ไม่ต้องดูแลรักษาใจอีกต่อไป

ไม่ต้องมีสติ ไม่ต้องมีปัญญา เอาเก็บไว้ในตู้

 เอาเก็บไว้ในลิ้นชักได้

 ถ้าจะใช้ก็ใช้เพื่อนำมาทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น 

อย่างเวลาพระพุทธเจ้า

หรือพระอรหันตสาวกท่านแสดงธรรม

 ท่านต้องใช้สติปัญญาเอามาสั่งสอนพวกเรากัน

แต่สำหรับใจของท่านนี้ท่านไม่ต้องใช้สติปัญญา

มาควบคุมรักษาอีกต่อไป

 เหมือนกับโรคภัยไข้เจ็บที่อาศัยยา

ในการรักษาให้หายขาด

พอโรคภัยไข้เจ็บได้หายขาดจากการรับประทานยาแล้ว

หลังจากนั้นก็ไม่ต้องรับประทานยาอีกต่อไป

 รับประทานหรือไม่รับประทานมันก็มีผลเท่ากัน

 คือมันไม่ได้ทำให้ร่างกายมันเป็นอะไรไปอีกต่อไป

 ไม่รับประทานมันก็หายอยู่แล้ว

รับประทานมันก็หายอยู่แล้ว ฉันใด

ใจของผู้ที่ได้รับการดูแลรักษาด้วยสติปัญญา

ด้วยการทำลายตัณหาความอยากให้หมดไปจากใจแล้วนั้น

 ใจดวงนั้นไม่ต้องมีอะไรมาปกป้องคุ้มครองดูแลรักษาอีกต่อไป

สติปัญญานี้เป็นเหมือนยารักษาใจ

เมื่อใจหายจากความทุกข์ใจแล้ว ไม่ต้องกินยาอีกต่อไป

ไม่ต้องมีสติไม่ต้องมีปัญญา

 เพราะจะทำอะไร มันก็จะไม่เกิดความทุกข์ขึ้นมา

เพราะมันไม่ได้ทำด้วยความอยากนั่นเอง

นี่แหละคือความวิเศษของการที่เราปฏิบัติธรรมกัน

 เราจะได้สิ่งที่วิเศษที่ไม่มีอะไรในโลกนี้สามารถให้กับเราได้

 นอกจากการปฏิบัติธรรม

ก็คือการดับความทุกข์ได้อย่างถาวร

และรักษาความสุขที่สุขเหนือกว่าความสุขทั้งหลายใ

ห้อยู่คู่กับเราไปตลอดไม่มีวันสิ้นสุด

แล้วก็จะทำให้เรานี้สามารถช่วยเหลือผู้อื่น

ให้เขาได้หลุดพ้นจากอบายก็ดี

จากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ก็ดี

ถ้าเขามีศรัทธามีความเชื่อ แล้วน้อมนำเอาไปปฏิบัติ

เขาก็จะได้รับประโยชน์ เหมือนกับที่เราได้รับประโยชน์.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๘

(ธรรมะในพรรษา ๒๕๕๘)

“ทดแทนบุญคุณ”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ

Create Date :14 สิงหาคม 2559 Last Update :14 สิงหาคม 2559 10:17:52 น. Counter : 749 Pageviews. Comments :0