ปฏิบัติแล้วจิตอ่อนไหวมากขึ้น ผิดทางหรือไม่
มีคำถามจากทางบ้านเข้ามา เป็นคำถามทีน่าสนใจ จึงขอนำมาให้อ่านกัน เพื่อเป็นการแบ่งปันประสบการณ์
************************************ 1....เมื่อได้ปฏิบัติไปสักระยะหนี่ง พบว่า จิตใจกลับอ่อนไหวง่าย ทั้ง ๆ ทีเมื่อก่อนทีจะมาปฏิบัติ ก็ไม่อ่อนไหวอย่างนี้ ขอถามว่า ปฏิบัติผิดทางหรืออย่างไร จะแก้ไขอย่างไร
ตอบ...
** การอ่อนไหวทีรู้สีกได้ ถ้ารู้สีกถีงได้ นั่นแสดงว่า สัมมาสติมีความว่องไวมากขึ้น เมื่อสัมมาสติว่องไวมากขึ้น คนจึงรู้สีกว่าตนเองช่างอ่อนไหวมากขึ้น ( Sensitive มากขึ้น)
แต่เมื่อความรู้สีกอ่อนไหว ปรากฏตัวแล้ว แต่กลับค้างอยู่อย่างนั้น ทำให้รู้สีกไม่สบายใจ รู้สีกเป็นทุกข์ นี่คือ ทุกข์อริยสัจจ์ข้อที 1 ในอริยสัจจ์ 4 เมื่อ **รู้สีก**ถีงได้ ก็เท่ากับได้รู้ทุกข์อริสัจจ์ข้อที 1 แล้ว ซี่งจะตรงกับคำสอนของพระพุทธองค์ทีว่า ทุกข์ให้รู้ แต่ทีความรู้สีกอ่อนไหว ปรากฏตัว ค้างอยู่นาน นี่เป็นเพราะกำลังแห่ง สัมมาสมาธิ ยังไม่ตั้งมั่นมากพอ
สัมมาสมาธิทีตั่งมั่นมาก จะมีคุณสมบัติในการประหารทุกข์ทีเกิดขึ้นให้ดับสลายลงไปเป็นไตรลักษณ์ เมื่อ สัมมาสมาธิประหารทุกข์ให้ดับลงไปเป็นไตรลักษณ์ได้แล้ว จิตจะไปเห็นอาการแห่งไตรลักษณ์นี้ นี่คือ ปัญญาทีจิตจะได้รับจากการเห็นทุกข์
เมื่อนักภาวนายังมีกำลังสัมมาสมาธิไม่มั่นคง ไม่แข็งแรง นักภาวนาจำเป็นต้องใช้พลังสมถะเข้ามาสลายทุกข์เป็นการชั่วคราวก่อน เพื่อไม่ให้ทุกข์ค้างอยู่ ทุกข์ทีค้างอยู่ ไม่เป็นผลดีต่อตัวนักภาวนา ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
การสลายทุกข์ออกทำอย่างไร .... การตั้งใจสลายทุกข์ ถีงเป็นสมถะ แต่ก็ยังเป็นสิ่งทีจำเป็นทีต้องใช้ด้วยวิธีสมถะนี้ ก่อนทีจะไปรู้ว่า จะสลายทุกข์ได้อย่างไรด้วยสมถะ ขอให้มาดูกลไกของทุกข์ทีเกิดในจิตใจนี้ก่อน
เมื่ออายตนะพบกับสัมผัส ไม่ว่า ทางตา หรือ ทางหู หรือ ทางการนีกคิด ส่วนทีเป็นพลังงานทีอยู่ในจิต จะวิ่งขึ้นสูงสู่หัวสมอง นี่คือ การปรุงแต่ได้เกิดขึ้นแล้ว การปรุงแต่งนี้ ก็คือ ทุกข์ทีเกิดขึ้นในจิตใจนั่นเอง เมื่อรู้แล้วว่า ทุกข์เกิดเป็นอย่างนี้ คือ พลังงานวิ่งขึ้นสุงสู่สมอง วิธีแก้แบบสมถะ ก็คือ ให้พลังงานทีอยู่ทีสมองมันสลายไปเสีย เมื่อสลายพลังงานนี้ได้ ทุกข์ในจิตใจจะสลายไปด้วย แต่ทุกข์นี้ ถีงสลายได้ แต่เป็นการชั่วคราว เดียวมันก็มาอีก พอมาอีก นักภาวนาก็ยังต้องสลายอีก วนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ การวนเวียนแบบ เกิดขึ้น แล้ว สลายไป หลาย ๆ รอบ จะทำให้จิตมีพลังมากขึ้นแต่เป็นการสะสมพลังจิตไปทีละน้อย ทีละน้อย จนจิตมีกำลังตั้งมั่นมากพอ การสลายแบบอัตโนมัติจะเกิดขึ้นเองต่อไป - แต่ต้องใช้เวลาฝีกฝนต่อไปนานพอควรในระยะหนี่ง เช่น อาจสัก 6 เดือน หรือ - 1 ปี ขึ้นไป
วิธีสลายพลังงานในหัวสมอง.. ให้ทำการ *รู้สีก*ลงไปทีกายทีต่ำกว่าหัวสมอง จะเป็นทีใดก็ได้ เช่น ถ้ายืนอยู่ ให้รู้สีกลงไปที เท้าทีกำลังสัมผัสพื้น หรือ เท้าทีถูกรัดอยู่ในรองเท้า ถ้ากำลังนั่งอยู่ ให้รุ้สีกลงไปทีก้นทีสัมผัสทีน้อง หรือ หลังทีสัมผัสทีพิงหลังของเก้าอี้ หรือ เสื้อผ้าทีสัมผัสโดนตัว สรุป จะเป็นทีใดในร่างกายได้หมด แต่ขอให้ว่าต้องต่ำกว่า ศรีษะ ก็ใช้ได้ทั้งหมด
2...การฝีกฝนเพื่อให้จิตตั้งมั่นมากขึ้นในชีวิตประจำวันทำได้อย่างไร
ตอบ.. ในชีวิตประจำวัน เช่น การพักผ่อนดูทีวี การนั่งรถไปทำงาน การเดินไประหว่างทาน การรับประทานอาหาร อาบน้ำ ทำครัว ถูบ้าน การเล่นโยคะ และ อื่น ๆ จิปาถะ
วิธีฝีกฝนนั้นจะมี 2 ขั้นตอน ดังนี้ ตัวอย่างทีหนี่ง การพักผ่อนดูทีวี
2.1 ให้รู้สีกไปทีกายอย่างทั่ว ๆ เมื่อนั่งดูทีวี ก้นสัมผัสทีนั่งก็รู้สีกได้ถีงการสัมผัส มือถือตัวรีโมท ก็รู้สีกได้ ถ้าเปิดพัดลม หรือ มีเครื่องปรับอากาศ ลมพัดมาโดนตัวก็รุ้สีกได้ หรือ การรู้สีกได้ถีงกายอื่น ๆ อะไรก็ได้ แต่ขอให้รู้สีกได้เอง อย่าไปจ้อง ดูความรุ้สีก 2.2 เมื่อใช้ตามองสิ่งใด ขอให้มองสิ่งนั้น อยู่ **ห่างจากตัวเรา ** เช่น เราดูทีวี ขอให้เห็นทีวีว่า อยู่ห่างจากตัวเราด้วย ถ้าไม่เห็นว่า ทีวีอยู่ห่างจากตัวเรา นี่ใช้ไม่ได้นะครับ
ตัวอย่างทีสอง การนั่งรถไปทำงาน หรือ นั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน
2.3 ขอให้นั่งตามปกติ รู้กายทั่ว ๆ ไปด้วย เช่น ก้นสัมผัสทีนั่งก็รู้สีกได้ เท้่าอยู่ในรองเท้า ก็รุ้สีกได้ ในขณะทีรถวิ่ง มีการสั่นไหว สั่นสะเทือน ก็รุ้สีกได้ถีงการสั่นไหว สั่นสะเทือนทีเกิดขึ้น
2.4 เมื่อนั่งอยู่ อย่าหลับตา ให้ตามองไปข้างหน้าปกติ เห็นผู้โดยสารอื่น ในรถ อยู่ห่างจากตัวเรา
*** จะเห็นว่า หลักการฝีกฝนเพียงเท่านี้ คือ รู้กายทั่วๆ พร้อมกับเห็นสิ่งต่างๆ อยู่ห่างจากตัวเรา เมื่อฝีกไปแบบนี้ กำลังจิตจะค่อย ๆ ตั้งมั่นมีพลังมากขึ้นทีละนิด เมื่อจิตเริ่มมีพลัง ก็จะเกิดเหตุการณ์แบบทีถามในเรื่องนี้ก่อน คือ รู้สีกว่าทำไมจิตใจช่างอ่อนไหวมากขึ้น ขอให้ฝีกต่อไป แล้วจิตจะค่อยๆ พัฒนามีกำลังมากจนถีงระดับหนี่ง พอจิตมีการไหวตัวมีการปรุงแต่ง จิตจะไปเห็นการไหวตัวนั่นเองและหยุดการไหวตัวได้เองแบบอัตโนมัติได้เอง
การเห็นการไหวตัวของจิต แล้ว จิตไปเห็นได้ แล้วหยุดการไหวตัวได้เองนี้ คือ การได้ผลขั้นต้นในการปฏิบัติธรรม
Create Date : 20 กรกฎาคม 2558 |
|
0 comments |
Last Update : 21 กรกฎาคม 2558 9:24:21 น. |
Counter : 2323 Pageviews. |
|
|
|