คนโสด กับ คนทีแต่งงานแล้ว
คนโสดทียังไม่แต่งงาน มักจะฝันหวานในชีวิตแต่งงานทีเหมือนปูด้วยกลีบกุหลาบ วัน ๆ ก็หวานกันปานน้ำผึ้ง มีความสุขราวกับอยู่บนสวรรค์
คนทีแต่งงานแล้ว ก็จะรู้สึกอีกแบบทีชีวิตเหมือนกำลังเดินอยู่บนเตียงตะปูของโยคี วัน ๆ ก็อมแต่บอระเพ็ดทีแสนจะขมอยู่ในปาก ชีวิตทนทุกข์ราวกับตกนรกทั้งเป็น
ผมยกตัวอย่างเรื่องทางโลกมาให้เห็น คนทียังโสด อาจยังไม่เข้าใจชีวิตหลังแต่งงานแล้ว แต่คนทีแต่งงานแล้ว จะเข้าใจชีวิตคนโสดได้ดีกว่า
ในการภาวนาก็เช่นกัน คนทีเข้ามาในวงการภาวนา ต่างมีเป้าหมายเพื่อการบรรลุเป็นพระอริยบุคคล เพราะได้ยินได้ฟังมามาว่า การเป็นพระอริยบุคคลนี่ ชีวิตแสนจะเปี่ยมสุข ไม่มีอะไรเลิศไปว่านี้อีกแล้ว
เมื่อคนมาภาวนา ใครทีเข้าลัทธิฤาษีทีสอนทำสมถะแบบเพ่ง ถ้าเพ่งได้ดี จะพบกับความสุขทีหาไม่ได้ในทางโลก แต่พอหยุดเพ่งหยุดทำสมถะเท่านั้น จะพบกับความทุกข์ไปเต็ม ๆ เมื่อคนได้สัมผัสอย่างนี้ ก็จะเข้าใจว่า ภาวนาแบบนี้ ใช่แล้ว ทำแล้วมีความสุขเหมือนดังทีได้ยินได้ฟังมาแล้วว่า ทำภาวนาจะมีแต่ความสุข
เจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์ก็ทรงทำมาก่อนกับอาจารย์ฤาษี 2 ท่าน ท่านพบกับสมาบัติชั้นสูงของฤาษี มีความสุขมาก แต่พระองค์ก็ทรงทราบด้วยปัญญาว่า นี่ไม่ใช่ทางแห่งการพ้นทุกข์ แล้วพระองค์ก็หลีกออกมา แล้วแสวงหาทางต่อไปด้วยพระองค์เอง
ต่อมาพระองค์ได้ทรงค้นพบหลักธรรมคือ อริยสัจจ์ 4 และได้ประกาศศาสนาเป็นพุทธศาสนา
สมาธิในพุทธศาสนานั้น เมื่อฝึกฝนจนเกิดจิตตั้งมั่นขึ้น จะทำให้รู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งมีกล่าวในพระไตรปิฏก สมาธิสูตร ทีว่า ภิกษุ เจริญสมาธิเถิด เมื่อจิตตั้งมั่น จักรู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง
ธรรมตามความเป็นจริงนั้น จะมี 2 อย่าง คือ 1..สังขตธรรม ธรรมตัวนี้ ได้แก่ ขันธ์ 5 ทีเป็นธรรมทีเป็นทุกข์ มีการแปรเปลี่ยนไปมาตลอดเวลา
2..อสังขตธรรม ธรรมตัวนี้ ได้แก่ สภาวะแห่งการไม่มีอะไรแปรเปลี่ยน ในตำราจะเรียกว่า นิพพาน
เมื่อภาวนาตามพุทธศาสนา จะพบธรรมตามความเป็นจริง คือ ธรรมทั้ง 2 ประเภททีกล่าวถีงข้างต้น ตัวสังขตธรรมนั้น จะมีเกิดขึ้นตลอดเวลา เป็นทุกข์ แปรเปลี่ยนไม่รู้จบสิ้น เมื่อพบธรรมตัวนี้ ก็คือ ทุกข์ ดังนั้น จะภาวนาอย่างไร ก็ไม่มีทางหนีทุกข์ไปได้พ้น ทุกข์นั้นยังมีอยู่เสมอ นี่คือความจริงของชีวิต
แต่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนว่า ทุกข์ทีเป็นสังขตธรรม ถีงแม้ว่าจะมีอยู่ก็จริง แต่ถ้าฝีกจิตให้มีสัมมาสมาธิที่จิตตั้งมั่นได้ จิตจะมีพลังแห่งการต่อต้านแรงของตัณหา เมื่อจิตมีแรงต้านตัณหาได้ จิตจะไม่เข้าไปยีดในทุกข์ทีเป็นสังขตธรรมนั้น ถีงแม้สังขตธรรมจะยังมีอยู่ จิตก็ยังเป็นอิสระอยู่เช่นนั้น เมื่อจิตเป็นอิสระไม่ยีดติดกับทุกข์ทีเป็นสังขตธรรม จิตจะไม่เป็นทุกข์ไปด้วย จิตจะรับรู้ความจริงแห่งสังขตธรรม จิตจะเห็นสังขตธรรม แปรเปลี่ยน เป็นไตรลักษณ์ เมื่อจิตไม่ยีดติดกับทุกข์ จิตจะเห็นสังขตธรรมเองว่า นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา นั้นไม่ใช่ของๆ เรา
ส่วนอสังขตธรรม ทีเป็นธรรมทีไม่แปรเปลี่ยน นี่คือสภาวะแห่งความว่างเปล่าของตัวจิตทีไร้อวิชชาปกคลุม การเห็นอสังขตธรรมได้นักภาวนาจะต้องมีญาณปัญญาเกิดขึ้นก่อนจึงจะพบเห็นกับธรรมตัวนี้
ถีงแม้นักภาวนาจะพบกับอสังขตธรรมแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากชีวิตยังเป็นไป มีการใช้ขันธ์ 5 ยังพบกับผู้คน มีการทำงานทางโลก สังขตธรรมทีเป็นขันธ์ ก็ย่อมเกิดขึ้นอยู่ดี ไม่หนีหายไปไหน
สังขตธรรมนี้เปรียบเหมือนเตียงตะปูของโยคีทีนักภาวนาถ้ายังไม่ตาย ก็ต้องพบอยู่เสมอ ถีงแม้เป็นทุกข์ทีแสนขมแต่เป็นไปไม่ได้เลยทีจะไม่พบกับสังขตธรรมนี้ เพราะนี้คือ ความเป็นจริงของธรรมชาติทีไม่มีทางหนีพ้น นอกจากความตาย
หลวงพ่อรูปหนี่ง ท่านกล่าวไว้ดีแล้วว่า การมีชีวิตอยู่ที่ประเสริฐนั้น คือการทีจะอยู่กับทุกข์ได้โดยทีไม่ทุกข์ไปด้วยกับทุกข์
นีคือความจริงของชีวิตทีนักภาวนาควรจะเข้าใจให้ตรง แล้วจะไม่ทุกข์เพราะการภาวนา
Create Date : 04 เมษายน 2557 |
|
0 comments |
Last Update : 4 เมษายน 2557 19:18:55 น. |
Counter : 2316 Pageviews. |
|
|
|