ทำตัณหาให้สิ้น ไม่ใช่ไปทำให้ทุกข์ไม่มี
นี่คือ ความเข้าใจผิด กันอย่างใหญ่หลวงของนักภาวนา ทีไปทำให้ทุกข์ไม่มี
เข้าใจผิดอย่างไร....
ผมจะยกอริยสัจจ์ 4 มาอธิบาย ในอริยสัจจ์ 4 ข้อที 1 กล่าวไว้ว่า ทุกข์ นั้น รู้ ตรงนี้ แปลว่า อะไรครับ แปลว่า ทุกข์ นั้น ไม่มีวันหมดครับ ทุกข์หนี่งเกิดขึ้น แล้วดับลง ทุกข์ใหม่จะเกิดขึ้น แล้วดับลงไปอีก วนเวียนแบบนี้ไปตลอด
ในอริยสัจจ์ 4 ข้อที 2 กล่าวไว้ว่า ตัณหา คือ เหตุแห่งทุกข์ ตรงนี้แหละครับ ทีผมว่า คนมักไม่เข้าใจ หรือ เข้าใจผิดกัน การหลุดจากกองทุกข์ได้ แปลว่า ทุกข์ถีงมี แต่ถ้าไร้ตัณหาเสียแล้ว ทุกข์มี ก็ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะไม่ได้ยีดเอาไว้ ในพระไตรปิฏก ก็เขียนไว้หลายที่ หลายพระสูตรด้วยกันว่า ในขบวนการของการบรรลุพระอรหันต์ เมื่อจิตเบื่อหน่อย ก็จะสิ้นตัณหา แล้วเกิดการปล่อยวางไม่ยีดมั่นถือมั่นอีกต่อไป
การปฏิบัตินั้น ต้องทำให้ ตัณหา สิ้นไปครับ ไม่ใช่ไปทำให้ทุกข์ไม่มี
ตัณหา สิ้นไปได้อย่างไร... ตัณหานั้น ตรงข้ามกับ สัมมาสมาธิ ครับ ถ้า สัมมาสมาธิแรง จิตตั้งมั่น ว่องไว ทำให้ตัณหา สิ้นไปทันที ด้วยเหตุนี้
ดังนั้น การภาวนา จึงมี มรรค 8 อันเป็นอริยสัจจ์ 4 ข้อที 4 ว่า มรรค เจริญให้มาก เจริญมากทำไม.. ก็เพื่อให้สัมมาสมาธิแรง จิตตั้งมั่น ว่องไว ครับ แต่ทีพลาดกันในหมู่นักภาวนา ทีใคร ๆ ก็บอกว่าเขาได้เจริญสมาธิกันทั้งนั้น แต่สิ่งทีเขาทำนั้น มันไม่ใช่สัมมาสมาธิ แต่กลับเป็นสมาธิแบบอื่นกัน ถ้าเขาเจริญสัมมาสมาธิกันจริงตามมรรค 8 อย่างช้า 7 ปี เขาจักบรรลุอย่างน้อยพระอนาคามี ซึ่งมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฏก สติปัฏฐานสูตรว่าแบบนี้
ทำความเข้าใจในกระจ่าง แล้วเดินตามอริยสัจจ์ 4 จักไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธองค์อีกเลย
Create Date : 22 มกราคม 2559 |
|
0 comments |
Last Update : 22 มกราคม 2559 9:41:32 น. |
Counter : 1454 Pageviews. |
|
|
|