เขียนระหว่างปี พ.ศ. 2526 - 2528
ข้อเขียนของผมในตอนที่ห้า จบลงด้วยคำทิ้งท้ายถึงท่านผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในคณะรัฐประหารเมื่อ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ผู้มีชื่อว่า พันเอก เผ่า ศรียานนท์ นายทหารนอกราชการ เคยดำรงตำแหน่งเจ้ากรมเชื้อเพลิง และผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ท่านผู้นี้ ถูกปรามาสจากคุณหลวงสินาดโยธารักษ์ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยสมัยนั้น คุณหลวง ฯ เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่นอกราชการ ยศอะไร ผมจำไม่ได้ ท่านนายก ฯ ควง ฯเชิญมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย อาจจะเป็นชั้นพลโท หรือ พลตรี
จะมียศชั้นอะไรก็คงจะไม่สำคัญ ท่านก็ได้ตอกหน้า พันโท เผ่า ศรียานนท์ เข้าให้ เมื่อเข้าไปขอมีตำแหน่งใหญ่ในกรมตำรวจ โดยพูดใส่หน้าว่า
คนอย่างคุณนะหรือ แค่พลตำรวจก็ยังไม่ได้
แล้วคนที่เป็นแค่พลตำรวจก็ยังไม่ได้ ก็เลยพาพรรคพวกเดินเข้าไปจี้นายก ฯ ควง ฯ ให้ลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเสียเอง คุณหลวงเจ้ากระทรวงมหาดไทย ก็เลยต้องก็เลยตกเก้าอี้ไป แล้ว พันเอก เผ่า ฯก็เข้ามาในกรมตำรวจในตำแหน่ง ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ
ท่านผู้ช่วยอธิบดีเผ่า ฯ อยู่ในตำแหน่งนี้ด้วยยศ พันเอก ลุ่น ๆ ไม่มียศ ตำรวจ
ผมยังคงเป็นประจำกอง ๒ ตำรวจสันติบาลอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครมาตอแยกับผม มีงานทำมั่ง ไม่มีงานทำมั่งไปวันๆ ได้มีเวลาไปสรวลเสเฮฮากับเพื่อนฝูงเก่า ๆ ที่เคยร่วมงานมากด้วยกันสมัยกองตรวจ ฯได้บ่อยขึ้น สถานที่พบปะกันก็คือ ที่สโมสรสหมิตร ซึ่งขณะนั้น อยู่แถว ๆ ถนนมหาพฤฒธาราม
พี่เชื้อของผมแวะเวียนไปพบพวกที่นั่นบ่อยเหมือนกัน เคยแอบกระซิบผมว่า ให้เกาะกลุ่มกันอย่างนี้แหละดีแล้ว คอยฟังข่าวจากพี่เชื้อก็แล้วกัน
ผมก็รับทราบไว้ยังงั้นๆ ถึงอย่างไรผมก็ทำอะไรพี่เชื้อไม่ลง ถึงแม้จะเป็นสันติบาลที่มีหน้าที่คอยสดับรับฟังเรื่องทางการเมือง ผมก็เก็บความนี้เอาไว้กับตัวคนเดียว ไม่เอาไปพูดกับใคร
ผมโดนส่งไปเป็นกรรมการสอบสวนตำรวจทุจริตต่อหน้าที่รายหนึ่ง ที่เมืองแปดริ้วหรือฉะเชิงเทรา เพราะในกลุ่มตำรวจที่ต้องหานั้น มีตำรวจสันติบาลชั้นประทวนร่วมอยู่ด้วยคนหนึ่ง ผู้บังคับการสันติบาลจึงส่งผมไปร่วมเป็นกรรมการกับทางท้องที่ ผู้บังคับการของผมตอนนั้นชื่อ พันตำรวจเอกหลวงสัมฤทธิ์สุขุมวาท
ระหว่างที่ผมไปอยู่ที่แปดริ้ว ทางกรุงเทพ ฯ ก็มีการจับกุมพวกกบฏกัน เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๙๑
ผมได้ข่าวนี้ขณะที่ยังไม่เสร็จเรื่องทางแปดริ้วว่า ทางกรุงเทพ ฯ ส่งกำลังไปจับกุมพวกกบฏมาได้หลายคน เป็นนายทหารชั้นหัวกะทิของฝ่ายเสนาธิการทั้งนั้น แทบจะหมดตัวนายทหารฝ่ายเสนาธิการของกองทัพบก
ผมเสร็จเรื่องทางแปดริ้ว ผมก็กลับกรุงเทพ ฯ เข้าบ้านอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปที่กองของผม ไปดูว่า มีอะไรที่จะช่วยเขาได้บ้าง ผมไปถึงกองสอบสวนเรื่องกบฏรายนี้เอาเกือบเที่ยง