พรานเจนเชิง ชะลอเครื่องยนต์ให้คลานไปช้า ๆเมื่อรถของเขามาถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เขาเหยียบเบรคให้รถหยุด เมื่อถึงตอนบริเวณเงามืดแห่งหนึ่ง ดับเครื่องยนต์และดับไฟ
เขายืดตัวบิดขี้เกียจตามสบาย พูดขึ้นว่า
เวลาเท่าไรแล้ว กัลยา
กัลยาดึงผ้าคลุมผมออก ยกนาฬิกาคู่มือพรายน้ำขึ้นดู
สามทุ่มสิบนาทีค่ะ หัวหน้า
ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ พรานเอนศีรษะลงพิงกับพนักเบาะรถยนต์ เขาหลับตาสูดอากาศแรง ๆ ๒ -๓ ครั้ง พูดขึ้นว่า
กัลยา รู้ไหมว่า เวลานี้เรากำลังทำงานอย่างเสี่ยงที่สุด ในระหว่างความสำเร็จกับความพลาด
กัลยาขยับตัว หันเอียงหน้ามาทางหัวหน้าของหล่อน สายตาของหล่อนจับอยู่ที่ใบหน้าของเขาซึ่งกำลังหลับตาอยู่
ดิฉันมีความรู้สึกเช่นนั้นมาโดยตลอด ตั้งแต่หัวหน้าเริ่มรับปากกับ ขุนวนกิจบำรุง ที่จะดำเนินงานเรื่องนี้ ดิฉันทราบดีว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทัดทานความคิดของหัวหน้า ไม่ว่าในโอกาสใด ๆ
พรานลืมตาขึ้นเขาเอียงศีรษะมาทางกัลยา มองสบตาหล่อนและยิ้ม พร้อมกับเลิกคิ้วทั้งสองขึ้นสูง เขาเอื้อมมือข้างซ้ายไปตบเบา ๆที่หลังมือขวาของหล่อนที่วางอยู่บนเบาะ พลางพูดว่า
งานที่จะออกรส คืองานที่ต้องมีการเสี่ยงต่อการได้เสียนิดหน่อย กัลยา อย่าวิตกไปเลย ผมมองเห็นความสำเร็จอยู่แล้ว ถ้าความคาดหมายของผมไม่ผิด
หัวหน้าทำงานทุกครั้งโดยใช้ความคาดหมาย คาดการณ์ว่า มันควรจะเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ ไม่คิดบ้างหรือคะว่า มันอาจจะพลาดได้
เหตุการณ์ทุกอย่างย่อมดำเนินไปโดยมีเหตุประกอบ พรานพูดช้า ๆ ผมเลือกเดาเหตุการณ์เอาในทางที่มันมีเหตุอันสมควร และคดีเรื่องหนึ่ง ๆ ย่อมมีทางเดินของมัน โดยเฉพาะบางคราว มันเป็นเรื่องที่เราคิดไม่ถึง แต่เมื่อเราหยิบยกเอาสิ่งแวดล้อมต่าง ๆขึ้นมาปะติดปะต่อกัน เราก็อาจเห็นว่า มันมีทางเป็นไปได้ สำหรับเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าอรัญญาไม่ใช่เป็นคนฆ่าผัวของหล่อนแน่
เพราะเหตุใด หัวหน้าจึงเชื่อเช่นนั้น จะอธิบายให้ทราบได้ไหมคะ นัยน์ตาของกัลยาทั้งคู่จับอยู่ที่นัยน์ตาของพราน และกระพริบหนังตาเป็นระยะ ด้วยความสนใจ ขณะที่หล่อนพูด
พรานมองดูหล่อน เขามีความรู้สึกว่าขณะนั้นกัลยาส่อแววสนใจอย่างน่ารักที่สุด เขายิ้มเล็กน้อย ชันกายขึ้นนั่งในท่าปกติ ก่อนที่จะพูดว่า
ถ้าคุณอยากรู้จริง ๆ ผมจะอธิบายให้ฟังก็ได้ เขาหยุดชั่วขณะ มองดูหน้าหล่อนแล้วพูดต่อไปช้า ๆ
มีสิ่งหนึ่งที่พนักงานสอบสวนมองข้ามเลยไปคือ พยานผู้ไปแจ้งเหตุต่อตำรวจเมื่อได้ยินเสียงปืน จากรายงานของเกรียงที่ผมได้ให้เขาไปเอารายละเอียดเพิ่มเติมมา เราได้ความรู้มาใหม่ว่า ระยะทางจากบ้านของพยานผู้นั้น ไปถึงตลาดและถึงจุดที่ยามผู้นั้นประจำอยู่ เป็นระยะทางประมาณเกือบสองกิโลเมตร จำได้ไหม
กัลยาพยักหน้าช้าๆ รับคำเบา ๆ หล่อนยังคงมองดูหัวหน้าของหล่อนด้วยสายตาเช่นเดิม
พรานพูดต่อ พร้อมกับชี้นิ้วไปยังหล่อน
กัลยา คุณเลิกทำนัยน์ตาอย่างนี้เสียทีเถอะ ถ้าอยากจะฟังเรื่องนี้ให้จบ มิฉะนั้น ผมคงไม่เป็นอันเล่าอะไรให้ถูกได้ และโดยเฉพาะในบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเราขณะนี้ มันโรแมนติคเสียด้วย
กัลยาหลบสายตาลงต่ำ ยิ้มอย่างน่าเอ็นดูด้วยความขวยเขิน พูดว่า
ก็คนกำลังสนใจ เล่าต่อไปเถอะค่ะ หัวหน้า ดิฉันจะไม่มองละ จำได้ว่า ระยะทางนั้นห่างประมาณสองกิโลเมตร มันจะเกี่ยวข้องกันอย่างไรคะ ยังมองไม่เห็น พูดจบ หล่อนทอดสายตาออกไปทางข้างหน้า รอยยิ้มยังไม่จางหายไป
พรานหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น
ยังงั้น ทีนี้ฟังต่อไป ระยะทางกิโลเมตรเศษ ๆ นี้ คนธรรมดา ถ้าไม่ใช่นักวิ่งเร็ว ก็ต้องใช้เวลาประมาณ ๑๕ นาที กว่าจะวิ่งไปถึง ทั้งไปและกลับก็ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง คุณคิดดูซิว่า ถ้าแม่อรัญญาแกเป็นคนยิง แกก็ต้องรีบหนีไปในขณะนั้น กว่าคนที่จะไปตามตำรวจ จะไปถึงตัวตำรวจ และกว่าตำรวจจะมาถึงที่เกิดเหตุ ก็คงไม่ได้พบตัวแกในบ้านนั้นแน่ ๆ และอีกประการหนึ่ง โดยธรรมดา ถ้าคุณยิงใครสักคนหนึ่ง คุณคงไม่ทิ้งปืนที่คุณใช้ยิง ไว้ในที่เกิดเหตุ และโดยเฉพาะเป็นปืนซึ่งเป็นของคุณเองด้วย นอกเสียจาก ปืนกระบอกนั้นเป็นของคนอื่น และคุณต้องการจะสร้างวัตถุพยานให้คนอื่นเข้าใจว่า เจ้าของปืนนั้นเป็นผู้ยิง เห็นหรือยัง พอจะเข้าใจไหม
กัลยาเม้มริมฝีปากเล็กน้อยระหว่างติดตามคำพูดของเขาไป หล่อนผงกศีรษะอย่างช้า ๆ และพูดว่า
ดิฉันเข้าใจละ จริงซีนะ สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ เราอาจมองข้ามมันไปได้ง่ายๆ การที่ปืนกระบอกนั้น มีรอยนิ้วมือของอรัญญาปรากฏอยู่นั่นเอง ทำให้เธอตกที่นั่งลำบาก