จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
20 เมษายน 2555
 
All Blogs
 
เงื่อนไขการปฏิวัติ - บทที่ 7 ปฏิบัติการผิดจังหวะ (ตอนที่ 3)

โดย พ.ต.อ.  พุฒ  บูรณสมภพ

เขียนระหว่างปี พ.ศ. 2526 - 2528

บทที่ 7 ปฏิบัติการผิดจังหวะ
ตอนที่ 3

ฝ่ายคณะต่อต้านกบฏจึงยกกันออกจากบ้านพี่ม้าย แยกกันไปคุมกำลังมุ่งไปที่วังหลวง ผมแยกกับนายที่นั่น เพราะต้องรีบกลับไปที่กอง ซึ่งผมสั่งกำลังเตรียมพร้อมไว้ก่อนที่จะไปรับพี่ม้าย ไม่มีวี่แววของใครอยู่เลย ผมชักเอะใจ ทำไมกำลังของผมซึ่งสั่งไว้ให้รอ จึงหายไปไหนหมด เหลืออยู่แต่จ่ากองร้อยยืนอยู่แถวนั้น มีตำรวจอีกสอง-สามคนเดินอยู่ด้วย พอผมจอดรถโดดลงมา เขาก็วิ่งเข้ามาหาผม จ่ากองร้อยพูดขึ้นอย่างตกใจว่า “อ้าว ไหนไอ้ต่วนมันว่า สารวัตรหนีไปแล้วไงล่ะ ” ไอ้ต่วนเป็นชื่อของคนขับรถประจำตัวของผม ซึ่งผมทิ้งบัตรประจำตัวและเอกสารต่าง ๆของผมไว้ให้ ก่อนที่ผมจะฝ่าแนวทหารเรือไปรับพี่ม้าย มันเล่นผมเสียแล้ว จ่ายังพูดต่อว่า “มันว่า สารวัตรฝากของไว้ที่มันหมด ก่อนที่จะหนีไป มันยังเอาให้พวกเราดู ” “แล้วกำลังไปไหนหมด ” ผมถาม “หมวดบุญสมคุมไปแล้วครับ ” เขาตอบหน้าตาตื่น

หมวดบุญสมคือรองสารวัตรคนหนึ่งของผม ผมมองหาไอ้ต่วน ยังไม่รู้ว่ามันแอบอยู่ที่ไหน ประเดี๋ยวเดียวมันก็ค่อย ๆ ย่องมาหาผม ยืนตัวงออยู่ตรงหน้า

 “อ้อ มึงปล่อยข่าวว่ากูหนียังงั้นเรอะ” ผมจับคอเสื้อมันถาม

“ผมเห็นสารวัตรมอบอะไรต่ออะไรให้ผมหมด ผมก็คิดว่าสารวัตรไปแล้ว ”

มันตอบเสียงสั่น ๆ “เออดี มึงดี ” ผมเขย่าคอเสื้อมัน “ มึงดี นี่แนะ ” ผมเตะมันพลั่กเข้าให้เต็มเหนี่ยว มันลงไปคลุกฝุ่น “ เอาไปขัง ” ผมสั่งไปที่จ่ากองร้อย ไอ้ต่วนยอดคนรถของผมโดนจ่ากองร้อยดึงเอาตัวไปเข้าห้องขังตามคำสั่ง ผมขึ้นรถออกมาบึ่งไปที่บ้านพี่ ม้ายอีก ที่นั่นมีพี่ม้ายยังอยู่กับเจ้านายอีกเพียงสองคน นอกนั้นแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ได้ความว่า ที่ยังอยู่เพียงสองคน เพราะพรรคพวกให้คอยผมอยู่ เพื่อรอกำลังของผม ซึ่งอาจจะยังไม่รู้ว่าจะให้ไปทางไหน ทั้งสองคนพอเห็นผมเข้า ก็อุทานออกมาว่า “อ้าว ไหนเขาว่าหนีไปเข้ากับพวกนั่นแล้วไงล่ะ ” ผมหัวเราะ

 “ไอ้คนออกข่าว ผมเตะพับไปแล้วครับ ตอนนี้มันกำลังเอนหลังอยู่ในห้องขัง ” “ใครล่ะ ” ทั้งคู่ถามพร้อม ๆ กัน “คนรถผมเองครับ ผมฝากบัตรประจำตัวและเอกสารต่าง ๆ ของผมไว้กับมัน ก่อนที่จะไปบ้านพี่ม้าย มันก็เลยว่าผมหนีไปแล้ว ฝากข้าวของทั้งหมดกับมันไว้ ไปแต่ตัว ” ทั้งสองคนหัวเราะ ถามต่อ “แล้วกำลังของลื้อล่ะ ”

 “รองสารวัตรของผมนำไปที่วังหลวงแล้วครับ ”

 “เออ แล้วไป ถ้ายังงั้นก็ลงมือเขียนแถลงการณ์ของรัฐบาลเสียเลย พรรคพวกเขาลงความเห็นว่า ให้ลื้อเขียนคำแถลงการณ์ เขาว่าลื้อมันนักประพันธ์ สำนวนดี ” ผมก็เลยตกที่นั่งเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์อีกตำแหน่งหนึ่ง โต้แย้งอะไรไม่ได้ ผมนั่งลงคว้ากระดาษปากกาที่วางเตรียมไว้ให้ แล้วนั่งเขียนแถลงการณ์สด ๆ ร้อน ๆตรงนั้น ข้อความในแถลงการณ์ไม่ยาวอะไรนัก เพียงหน้ากระดาษกว่า ๆ ผมชักนิยายว่า พวกกบฏที่ยกกำลังกันมานั้นก็เพื่อจะยึดอำนาจและแก้ไขเรื่องกรณีสวรรคต เพราะขณะนั้นมีการสอบสวนกรณีสวรรคตกันอยู่ และมีผู้ต้องหาหลายคนที่พาดพิงถึง รวมทั้งท่านปรีดี ฯ อยู่ด้วย ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางแผน บัดนี้ ฝ่ายรัฐบาลได้โต้ตอบฝ่ายกบฏยึดกรมโฆษณาการคืนได้แล้ว และกำลังส่วนใหญ่จะเข้ายึดวังหลวง ซึ่งฝ่ายกบฏเข้าไปยึดเป็นกองอำนวยการอยู่ เพื่อที่จะต่อรองกับฝ่ายรัฐบาล เพราะเชื่อแน่ว่า   ฝ่ายรัฐบาลคงไม่กล้ายิงเข้าไปในที่นั้น อาจจะทำให้ทรัพย์สินข้างในซึ่งมีค่ามากมายเสียหายได้ ผมเขียนอะไรต่ออะไรเข้าไปหนัก ๆ ส่งให้ทั้งสองคนอ่านแล้ว ท่านก็ว่าเข้าท่าดี เอาไปออกอากาศได้เลย แล้วก็ยกกันออกจากบ้านพี่ม้าย มุ่งตรงไปที่กรมโฆษณาการทันที

 

ผมไม่ได้ตามขึ้นไปที่บนกรมโฆษณาการ ผมแยกไปหากำลังของผม ที่บุญสมคุมมา ว่าอยู่ที่ไหน ผมพบแต่รถถังสองคันจอดอยู่ที่เชิงสะพานเสี้ยว มีกำลังทหารหลายหมวดอยู่ที่นั่น กำลังวางแผนที่จะเข้าตีวังหลวง แต่ยังไม่รู้ว่ากำลังฝ่ายกบฏมีอาวุธหนักอะไรบ้าง จะต้องหาข่าวเสียก่อน เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความเสียหายกับอะไร ๆที่อยู่ในวังหลวง เจ้านายผมอยู่กับ พันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นผู้บังคับการ กรมทหารราบที่๑๑

เมื่อเห็นผม  ท่านก็หันมาสั่งทันทีอาวุธหนักอะไรมั่ง ” ทำไมต้องใช้ผมก็ไม่รู้ ยังกับผมเป็นเจ้ากรมสรรพาวุธยังงั้น

“เฮ้ย ไอ้พุฒ มึงลองด้อม ๆ ไปหาข่าวทีวะ ข้างในมันมีคับ

ผมก็ต้องไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงถึงจะได้ข่าวอันนี้

พันศักดิ์อยู่ที่นั่นด้วย ผมไม่ทันเห็นมัน พอท่านสั่ง มันก็ก้าวออกมาหาผม

“ มาวะ ไปด้วยกัน ” มันดึงแขนผมออกเดินไปข้างหน้า ผมเดินเคียงข้างมันไป เดินดุ่ม ๆไปตามถนนราชดำเนินสายใหญ่นั่นแหละ ก้าวอาดๆ ไปเรื่อย ๆ จุดที่หมายคือ บริเวณป้อมตรงหัวมุมถนน ข้างกระทรวงกลาโหมตัดกับถนนที่จะไปทางท่าช้าง ตรงนั้นเป็นมุมกำแพงวังหลวง มีป้อมอยู่บนเชิงเทินกำแพง ผมกับพันศักดิ์เดินเรื่อย ๆ ไปทางนั้น ก้าวเรื่อยไปจนถึงหัวมุมถนน แหงนหน้ามองไปบนเชิงเทิน บนนั้นไม่มีอะไรผิดสังเกต สงบเงียบ ไม่มีสิ่งบอกเหตุว่ามีอะไรอยู่ที่นั่น ยืนพินิจพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่ ก็เดินกลับมาหาพรรคพวกที่ยังชุมนุมกันอยู่ที่รถถังจุดเดิม ผมมารู้ทีหลัง เมื่อเหตุการณ์ผ่านมาแล้วหลายปี โดยได้พบกับพรรคพวกที่เคยทำงานเสรีไทยมาด้วยกัน และเขาได้ร่วมอยู่ในคณะปฏิวัติที่เข้ายึดวังหลวงในวันนั้นว่า กลุ่มของเขาอยู่บนเชิงเทินนั้นในคืนวันนั้นแหละ มีปืนยิงรถถังด้วยกระบอกหนึ่ง กำลังประจำครบ เขาเห็นผมกับพันศักดิ์เดินอาด ๆ มาเหมือนกัน เขาจำได้ว่าเป็นใคร เพราะรู้จักกันดี เขาเลยไม่ทำอะไร ถ้าเป็นคนอื่นก็คงโดนเล่นงานด้วยปืนรถถังแหลกไปแล้ว

 รอดตายมาอย่างไม่เข้าท่า

   




Create Date : 20 เมษายน 2555
Last Update : 24 เมษายน 2555 1:33:06 น. 1 comments
Counter : 698 Pageviews.

 
ขอบคุณมาก..


โดย: ก้นกะลา วันที่: 24 เมษายน 2555 เวลา:19:37:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.