เขียนระหว่างปี พ.ศ. 2526 - 2528
หน่วยสอบสวนตั้งอยู่ที่บ้านพัก มุมถนนอังรีดูนังต์ ตัดกับถนนพระราม ๑ เดิมเป็นบ้านพักของผู้บังคับการตำรวจสันติบาล ท่านผู้บังคับการไม่ใช้ จึงเป็นบ้านว่าง ทางคณะกรรมการสอบสวนคดีกบฏ ๑ ตุลา เลยใช้บ้านนี้เป็นที่ตั้งหน่วยสอบสวน
ผมมาถึงหน่วย ฯ ก็เดินอาดๆ เข้าไป ตรงไปที่ห้องสอบสวนชั้นใน เพราะผมรู้ว่า ท่านผู้บังคับการของผมอยู่ที่ห้องนั้น ผมเดินเข้าไปโดยไม่ได้มองซ้ายมองขวา ตรงรี่เข้าไปยังประตูห้องสอบสวน
เ..ดแม่ ไปไหนมา เสียงฟ้าผ่าคำรามดังก้องมาจากโต๊ะตัวหนึ่งที่มุมห้อง
ผมหันขวับไปมองคนที่อวยพรแม่ผม
คนส่งเสียงนั่งอยู่ที่เก้าอี้หลังโต๊ะตัวนั้น นัยน์ตาวาวมองผมอยู่
" ไปไหนมา ไอ้ห่.. เสียงอวยพรตัวผมดังมาจากเจ้าของตาถลนท่านนั้น
ผมไปสอบสวนนายตำรวจทุจริตที่แปดริ้ว เพิ่งเสร็จมาครับ ผมโค้งตัวงอตอบ
พอดีท่านผู้บังคับการของผมโผล่หน้าออกมาดู คงจะได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังเข้าไปข้างใน ท่านเห็นผมยืนเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ ก็ถามว่า
เสร็จแล้วหรือ พุฒ
เรียบร้อยแล้วครับ ผมตอบท่าน ตำรวจของเราไม่ผิด
จริงหรือ คุณหลวง เจ้าของตาถลนยังไม่หายสงสัย หันไปถามผู้การ ฯ ของผม
ครับ ผู้การ ฯ ตอบ พุฒเขาไปสอบสวนเรื่องตำรวจทุจริตที่แปดริ้วครับ
นัยน์ตาวาวหันกลับมาอยู่ที่ผม
เข้าไปช่วยเขาสอบสวนซี่ เสียงตวาดลั่น
ผมมานี่ก็เพื่อมาช่วยเขาครับ ผมอดตอแยไม่ได้ ก่อนที่จะเดินเข้าห้องสอบสวนไป
คดีกบฏรายนั้น มีคนที่ผมรู้จักหลายคน บางคนเป็นลูกศิษย์ผมสมัยอยู่โรงเรียนนายร้อยก็มี ผมเป็นผู้ช่วยบังคับหมวดเขาอยู่ตอนนั้น เขาอยู่ปีหนึ่ง ผมอยู่ปีสาม
คนสำคัญเป็นนักเรียนในปกครองของผมโดยตรง เขาชื่อ ร้อยโท สุรพล จุลลพราหมณ์ คนนี้มีวิชาโหรที่แม่นยำ เป็นคนหาฤกษ์ให้คณะปฏิวัติคณะนั้น และเป็นคนหาฤกษ์ให้คณะรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ มาแล้ว ฤกษ์ต้องดีจึงทำงานสำเร็จ แต่คราวนี้มาโดนจับเสียก่อน เพราะปรึกษาหารือกันบ่อยนัก จนเข้าหูฝ่ายรัฐบาล เลยผิดฤกษ์ ว่ากันที่จริงแล้ว คณะนี่เป็นเพียงคณะนายทหารฝ่ายเสธ ฯ จะไปเอากำลังมาจากไหน ก็ไม่รู้ทำไมถึงคิดกันได้ หรือจะลองซ้อม ๆ ดูก็ไม่ทราบ
ความสำคัญของคณะปฏิวัติคณะนี้ไม่มีอะไร ที่ผมเอามาเขียนไว้ก็เพราะ คณะปฏิวัติคณะนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องเข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับท่านพันเอก เผ่า ศรียานนท์ โดยไม่ได้คิดมาก่อน เจอหน้าครั้งแรกก็โดนอวยพรถึงแม่ผมแล้ว ผมไม่ถือ เพราะแม่ผมท่านเสียไปนานแล้ว ตั้งแต่ผมยังแบเบาะ
การคิดปฏิวัติครั้งนั้น ผู้ที่ร่วมคิดเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีฝ่ายคุมกำลังอยู่เลย มี พลตรี หลวงศรานุชิตเป็นหัวหน้า ผู้ที่เป็นมันสมองของคณะก็คือ พลตรี เนตร เขมะโยธิน และมีสมองอีกหลายท่านจากนายทหารฝ่ายเสธ ฯ ไม่ทราบว่ามีฝ่ายกำลังแอบแฝงอยู่ที่ไหนอีก อาจจะเป็นด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ต้องพึ่งพาฝ่ายโหราศาสตร์ ช่วยหาฤกษ์ในการลงมือให้
โหรคนสำคัญก็คือร้อยโท สุรพล จุลลพราหมณ์ คนที่เคยหาฤกษ์ให้คณะรัฐประหาร ๙ พฤศจิกายน๒๔๙๐ จนทำการได้สำเร็จมาแล้วคนนั้น โหรจะคำนวณผิดพลาดไปยังไงก็ไม่ทราบ มาคราวนี้จึงโดนจับเรียบ วันนั้นเป็นวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๙๑ มีคนหลบหนีไปได้คนเดียว คือ พลตรี เนตร เขมะโยธิน
ผมไม่ได้มีส่วนในการสืบสวนกับเขาในเรื่องนี้ เพราะถูกใช้ให้ไปเป็นกรรมการสอบสวนร่วมกับทางตำรวจท้องที่ ที่แปดริ้ว เรื่องตำรวจทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งมีตำรวจสันติบาลถูกกล่าวหาร่วมอยู่ด้วย เสร็จเรื่องกลับมา เขาก็จับกันไปสองสามวันแล้ว กำลังตั้งหน่วยสอบสวนอยู่ที่บ้านผู้บังคับการสันติบาล ริมถนนพระราม ๑ ตัดกับถนนอังรีดูนังต์ ผมกลับมาจากแปดริ้วก็ไปช่วยเขาสอบสวนที่นั่น แล้วก็มาเจอเอาท่านผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจที่เพิงเข้ามารับตำแหน่งหมาดๆ ในวันนั้น แล้วก็มาถูกทักทายด้วยคำพูดเสนาะหูอย่างว่านั่น
พวกที่ถูกจับมานั้น มีนายทหารร่วมรุ่นผมหลายคน ล้วนแต่พวกสมองเสธ ฯ ทั้งนั้น ผมเลี่ยงที่จะไม่ไปยุ่งกับพวกมัน เดี๋ยวมันจะเจริญพรเอา ปล่อยให้คนอื่นเขาสอบกันไป ผมเร่ไปสอบพวกที่ไม่รู้จักดีกว่า
เงื่อนไขในการปฏิวัติครั้งนั้นก็ไม่แจ้งชัด เพราะคณะรัฐประหารเพิ่งจะปกครองประเทศได้ยังไม่ทันชนขวบปี รัฐประหารเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ แล้วยกให้นาย ควง ฯ ปกครองประเทศเสียสองสามเดือน จึงมากระซิบให้ลงจากเก้าอี้ แล้วเอาท่านจอมพล ป.มานั่งแทนได้ไม่กี่เดือน ก็ไม่มีคนจะปฏิวัติ เหตุการณ์ทางการเมืองก็ยังไม่ได้อะไรมาก การปกครองในด้านต่าง ๆ ก็ยังไม่เข้าที่ พันเอก เผ่า ศรียานนท์ ก็เพิ่งจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ยังไม่ทันก้นร้อน ยังไม่มียศทางตำรวจด้วยซ้ำ ฝ่ายคบคิดอาจจะเห็นว่า อะไร ๆ ยังไม่เข้าที่ น่าจะลงมือเสียตอนนั้นก็เป็นได้ เรียกว่า รีบฉวยโอกาส ในขณะที่น่าจะลงมือเสียตอนนั้นก็เป็นได้ เรียกว่า รีบฉวยโอกาสในขณะที่ยังสับสนกันอยู่
ผมไม่ได้มีส่วนในการสืบสวนจับกุมกับเขา ที่เข้ามาในหน่วยสืบสวนก็เพราะสำนึกในหน้าที่ ในฐานะที่ประจำอยู่กอง ๒ ตำรวจสันติบาล อันมีหน้าที่เกี่ยวกับการเมืองโดยเฉพาะ ก็ต้องมาให้พรรคพวกกับนายเขาเห็นหน้าเสียหน่อย ช่วยเขาทำงานบ้างตามหน้าที่ มาเจอเอาพรรคพวกรุ่นเดียวกันคบคิดกับเขาด้วยหลายคน ก็ชักจะกระอักกระอ่วนเอา ต้องเลี่ยงไม่ไปยุ่งสอบสวนพวกมัน และโดยเฉพาะ ร้อยโท สุรพล ฯ ผู้ให้ฤกษ์นั้น ก็ยังเคยเป็นนักเรียนนายร้อยในหมวดที่ผมเป็นผู้ช่วยผู้บังคับหมวดเข้าให้อีก ผมก็เลยมอง ๆ ทักทายพวกเขาเฉย ๆ ไม่รู้จะช่วยอะไรได้
วันนั้นแหละ ที่ผมพบกับความเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตจนได้
อ่านสนุกทุกตอน ทำให้เข้าใจการเมืองในสมัยนั้นมากขึ้นครับ