จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
4 เมษายน 2555
 
All Blogs
 

เงื่อนไขการปฏิวัติ - บทที่ 4 วิกฤติกาลที่สร้างเงื่อนไข (ตอนที่ 4)

โดย พ.ต.อ. พุฒ  บูรณสมภพ


เขียนระหว่างปี พ.ศ. 2526 - 2528

บทที่ี 4 - วิกฤติกาลที่สร้างเงื่อนไข
ตอนที่ 4

ย้อนกลับมาเขียนถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่าน พันเอก หลวงพิบูลสงคราม

ก่อนหน้าที่เมืองไทยจะถูกญี่ปุ่นบุกไม่กี่ปี ท่านพันเอก หลวงพิบูล ฯสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเชิญท่านเจ้าคุณพหล ฯ ลงมาจากเก้าอี้แต่โดยดีครั้งนั้น เป็นธรรมดาของการชิงอำนาจมาได้ใหม่ ๆ ก็ย่อมต้องมีศัตรูทางการเมืองหลายด้าน ทั้ง ๆ ที่กำลังคุมอำนาจไว้ได้เป็นส่วนมาก

อำนาจเป็นสิ่งที่หอมหวน ใคร ๆ ที่พอจะมีกำลังก็อยากจะได้ แต่เมื่อถูกฉวยโอกาสเอาไปเสียก่อน การคิดที่จะทำลายผู้ที่จะช่วงชิงอำนาจเอาไปนั้น ก็ย่อมจะต้องมี

พันเอกหลวงพิบูลสงคราม ได้เลื่อนยศเป็น พลตรี ในเวลาต่อมาไม่นาน และมีนิวาสถานอยู่ในซอยชิดลม นั่งอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่กี่เดือน ก็เกิดการประทุษร้ายอย่างแทบจะเอาชีวิตไม่รอดในบ้านนั้นเอง

เช้าวันหนึ่ง ขณะที่กำลังแต่งตัวจะไปทำงาน คนใช้ในบ้านคนหนึ่ง ชื่อว่า นายลี บุญตา ก็เข้ามาเอาปืนไล่ยิงเอาดื้อ ๆ ขณะที่ขาข้างหนึ่งกำลังอยู่ในขากางเกง ท่านนายก ฯ ต้องวิ่งเขยกหนีทั้ง ๆ ยังงั้น พลางร้องตะโกนเรียกคนในบ้านให้ช่วย ฝีมือการยิงของนายลีคงจะใช้ไม่ได้ เพราะเป็นมือปืนจำเป็น ไล่ยิงไม่ถูก เลยถูกคนในบ้านจับตัวไว้ได้ ทั้งนี้ โดยฝีมือของนายทหารคนสนิท ที่เอามารับใช้ใกล้ชิดคนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า ร้อยตรีเผ่า ศรียานนท์

นายลีถูกส่งตัวขึ้นศาลและถูกตัดสินประหารชีวิต ท่านนายก ฯ รอดชีวิตมาได้ จะเรียกว่าอย่างปาฏิหาริย์ก็ได้ ถ้าฝีมือคนยิงดีหน่อย ขนาดไล่ยิงเอาอย่างนั้น ก็คงจะไม่พ้นไปแล้ว

อีกครั้งต่อมา ท่านนายก ฯไปทำพิธีในงานรัฐพิธีที่สนามหลวงวันหนึ่ง โดยมีกำลังคุ้มกันหนาแน่น แต่ก็ยังไม่วายถูกลอบประทุษร้ายเข้าให้อีก เมื่อเสร็จพิธีแล้ว  ก็เดินมาขึ้นรถที่จอดรออยู่กลางสนามหลวง กำลังจะก้าวขึ้นรถที่มีคนเปิดประตูให้นั้น ก็มีชายคนหนึ่งก้าวพรวดพราดเข้ามา ใช้อาวุธปืนจ่อยิงเอาใกล้ ๆ ทางด้านหลังศีรษะ ท่ามกลางขบวนคุ้มกันหนาแน่นนั้น

ท่านนายกฯ โดนกระสุนปืนเข้าอย่างจังที่บริเวณท้ายทอย ไม่ยักเข้าสมอง เพียงแต่เฉียด ๆไปที่ท้ายทอยด้านหลัง ล้มฟุบลงทันที คนที่ลอบยิงไม่สามารถที่จะหลบหนีไปได้ โดนจับในทันที พร้อมทั้งอาวุธในมือ ท่านนายก ฯถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในทันทีนั้น กระสุนโดนที่ไม่สำคัญ เพียงแต่เฉียดลำคอทางท้ายทอย แต่กระนั้น ก็ต้องได้รับการรักษาพยาบาลอยู่หลายอาทิตย์ ตัวคนยิงชื่อ นายพุ่ม นามสกุลอะไร ผมจำไม่ได้ เป็นมือปืนที่ได้รับการว่าจ้างมาจากต่างจังหวัด ที่ยิงพลาดไปก็อาจเป็นเพราะยิงไม่ถนัด พอดีกับจังหวะที่ก้าวเข้าประตูรถ กำลังก้มศีรษะ จึงทำให้กระสุนพลาดเป้าหมาย

นายพุ่ม มือปืน ถูกส่งตัวขึ้นศาลพิเศษอีกคน ถูกตัดสินประหารชีวิตไปเรียบร้อย

ทางตำรวจสันติบาลสมัยนั้น ออกสืบสวนหาตัวบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารทั้งสองครั้งนี้ ในเวลาไม่นาน ก็ได้ตัวผู้บงการที่มีรายงานว่า ไม่ผิดตัว บุคคลผู้นั้นชื่อ ร้อยโท ณเณรตาละลักษณ์

ร้อยโทณเณร ถูกนำตัวขึ้นศาลพิเศษ ตามวิธีการ และถูกศาลตัดสินประหารชีวิตเช่นกัน ขณะนำตัวจำเลยเข้าหลักประหารนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ที่ทำการประหาร จะเอาผ้าผูกปิดตาตามพิธีการ จำเลยบอกว่า ไม่ต้องปิดตา ขอให้ประหารทั้ง ๆ นัยน์ตาเปิด และเมื่อเพชฌฆาตลั่นกระสุนเข้าใส่ร่าง ยังตะโกนออกมาอีกว่า

“ไม่ถูกโว้ย ยิงให้แม่น ๆ หน่อย ” ก่อนที่จะพับคาหลักประหาร

ร้อยโทณเณร ตาละลักษณ์ ผู้นี้ เป็นหนึ่งในคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร์ ฯ ในการยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ปี ๒๔๗๕

หลังจากเหตุการณ์ประทุษร้ายทางการเมืองสองครั้งนั้น ท่านพลตรี หลวงพิบูลสงคราม ก็ได้เลื่อนยศเป็น จอมพล ไม่ต้องเป็น พลโท พลเอก ให้เสียเวลา กระโดดทีเดียวจากพลตรี ขึ้นเป็น จอมพล เลย เป็นคนสามัญธรรมดาคนแรกที่ได้ยศ จอมพล

สมัยนั้น ผู้ที่จะเป็น จอมพล ได้ต้องมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงเจ้าพระยา หรือ มิฉะนั้น ก็ต้องเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ จอมพลหลวงพิบูลสงคราม จึงเป็นจอมพลคนแรกที่ไปจากบุคคลสามัญ จึงได้สมญานามว่า จอมพลคนหัวปี

ท่านจอมพลขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศเต็มตัว รวบเอาอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ และเริ่มปฏิวัติวัฒนธรรมไทยเสียใหม่ ให้เป็นที่ระลึกถึงความมีอำนาจของท่าน ท่านปฏิวัติการแต่งกายของคนไทยเสียใหม่ ห้ามนุ่งผ้าโจงกระเบน ผู้ชายต้องนุ่งกางเกงแบบสากล จะนุ่งกางเกงแพร หรือผ้าม่วงโจงกระเบนไปไหนมาไหนไม่ได้ ผู้หญิงก็ต้องนุ่งผ้าถุง หรือสวมกระโปรง แล้วทุกคนต้องสวมหมวกทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน มีคำปลุกใจประกอบว่า

“ มาลานำไทยไปสู่ความเป็นมหาอำนาจ ”

ผู้ชายสวมหมวกก็พอดูได้ แต่ผู้หญิงนี่ซิ ต่างพากันกระมิดกระเมี้ยน ก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมสบตาใครเวลาเดินถนน มีหมวกรูปร่างต่าง ๆ กันครอบอยู่บนหัว นุ่งกระโปรงสวมหมวก จะดูเป็นแหม่มก็ไม่เชิง

แล้วต่อมาท่านก็ให้เลิกกินหมาก สั่งการให้โคนต้นหมากให้หมดทั่วประเทศ เรื่องนี้ ทำเอา คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย บ่นกันพึม ทุกวันหมากไม่เคยขาดปาก มาถูกบังคับให้เลิกเคี้ยวเสียแล้ว ท่านอ้างว่าไม่ถูกวัฒนธรรมสมัยใหม่ ท่านพวกนั้นเกิดผิดสำแลงกันไปตาม ๆ กัน ที่เรียกว่า ยันหมาก เมื่อหมากขาดปาก จะเป็นลมเป็นแล้งตายเอา

ต่อมาอีก ท่านก็ให้เลิกราชทินนาม บรรดาศักดิ์ทั้งหลายให้เลิกใช้ ให้ทุกคนหันมาใช้นามเดิมและนามสกุลเดิม ขุน หลวง พระ พระยา ไม่มีอีกต่อไป แต่ใครจะใช้ราชทินนามเป็นนามสกุลก็ได้ เช่น ตัวท่านเอง มีชื่อเดิมว่า แปลก ท่านก็มาใช้ชื่อของท่านว่า จอมพล แปลก พิบูลสงคราม หรือเรียกตัวย่อได้ว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม

เรื่องตลกๆ ที่คนไทยไม่เคยได้เห็นยังมีอีก การปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งนั้น บานปลายไปถึงการใช้คำพูด และคำเขียนภาษาไทย ตัวอักษรที่ไม่จำเป็นในภาษาไทย โดนตัดออกหมด เช่น ตัวซ้ำ ๆ กัน อย่างตัว ท.ทหาร ธ.ธง ฒผู้เฒ่า ที่ออกเสียงเหมือนกัน ถูกตัดออกเหลือแต่ตัว ท.ทหาร ตัวเดียว ใช้แทนตัว ท. ทั้งหมดในภาษาไทย ดอกไม้ธูปเทียน ก็ต้องเขียนว่า ดอกไม้ทูปเทียน ตัวอักษรไทยจึงเหลือเพียงไม่กี่ตัว เด็กนักเรียนในสมัยนั้น ยุ่งกันไปหมด

นอกจากการเขียนแล้ว  เรื่องการพูดก็ถูกปฏิวัติใหม่  คำสรรพนามแทนตัว  ซึ่งแต่เดิมมีหลายคำ อย่าง ผม-คุณกู-มึง  ข้า-เอ็ง  ลื้อ-อั๊ว  ยังงี้ ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเหลือแต่  ฉันกับท่านเท่านั้น  เพียงสองคำ  ห้ามใช้หลาย ๆ คำอย่างเก่า  ไม่ว่าใครจะพูดกับใคร  ต้องใช้ ฉัน-ท่าน เท่านั้น

สโลแกนใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น “ เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย ” มีมาให้คนไทยทุกคนท่องจำ มีป้ายเขียนข้อความข้างต้นนั้น ปิดอยู่ทั่วประเทศ ก็จะไม่ให้ท่านเพ้อได้ยังไง เรื่องมีว่า มีท่านผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดท่านจอมพล ป. คนหนึ่ง อยู่ดี ๆ วันหนึ่ง ท่านจอมพลเดินลงมาจากบันไดทำเนียบตราไก่ (ตราไก่เป็นตราประจำตัวท่านจอมพล ป. เพราะท่านเกิดปี ระกา เลยใช้ตรานี้ติดไว้ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ทำเนียบที่อยู่เดี๋ยวนี้แหละครับ)

ท่านผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดท่านนั้น เกิดเห็นแสงรัศมีฉายออกมารอบ ๆศีรษะของท่านจอมพล ป. ก็ก้มลงกราบ ท่านจอมพล ป. ก็ตกใจ อยู่ ๆ มาก้มกราบกันทำไม ถามไถ่ขึ้นมา ก็ได้รับคำตอบว่า “ท่านมีรัศมีส่องแสงรอบศีรษะ เหมือนผู้วิเศษมาเกิด และดูลักษณะ ละม้ายไปทางพ่อขุนรามคำแหง (ว่าเข้านั่น)

ทีนี้ท่านก็เลยเกิดความคิดเยี่ยงพ่อขุนรามคำแหงซึ่งทรงประดิษฐ์คิดค้นอักษรภาษาไทย ท่านก็ต้องคิดประดิษฐ์ภาษาไทยขึ้นมาใหม่บ้าง ตัดเอาตัวอักษรต่าง ๆออกไปจากภาษาไทยดั้งเดิม อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นนั่น ถ้าท่านผู้อ่านได้บังเอิญมีบทประพันธ์ในสมัยนั้นอยู่ หรือมีหนังสือพิมพ์ในสมัยนั้นอยู่ ก็หาอ่านดูเถอะครับ พิลึกดี ผมเกิดทันได้ใช้ภาษาวิบัติครั้งนั้น สนุกดีครับ เขียนไป อ่านไป งงดี





 

Create Date : 04 เมษายน 2555
2 comments
Last Update : 5 เมษายน 2555 2:46:08 น.
Counter : 752 Pageviews.

 

ขอบคุณมาก..

 

โดย: ก้นกะลา 5 เมษายน 2555 18:46:34 น.  

 

ขอบคุณครับ

 

โดย: Insignia_Museum 6 เมษายน 2555 9:10:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.