สมัยผมอายุสิบหก ผมเริ่มเป็นนักเลง และพวกเพื่อนๆที่เคยวิ่งเล่นกันมาตั้งแต่เล็กๆ มันก็ยังอยู่
หน้าบ้านผมตอนนั้นยังเป็นที่ว่าง มีกองหินกองใหญ่ที่ทางการเอามากองไว้สำหรับใช้ในการทำถนนเข้าตรอกบุศยพรรณ หินกองนั้นเลยกลายเป็นที่ปีนป่ายของพวกเด็กๆ ในตรอกบุศยพรรณ สมัยนั้นเรียกว่า ตรอกโรงหนังดงก๊ก และเป็นที่ซ้อมเชิดสิงโตตอนใกล้ตรุษจีน
ผมเคยเชิดสิงโตหากินอยู่แถวตรอกนั้นเอง ได้สตางค์มาก็ไม่ได้เอาไปเที่ยวเตร่อะไร เอาไปนั่งกินข้าวต้มกันในตลาดทุเรียน ซึ่งเป็นตลาดที่อยู่เชิงสะพานโค้ง บางลำภู
ผมมีหลวงพี่อยู่องค์หนึ่งที่วัดบางลำภู หรือ วัดสังเวชวรมหาวิหาร วัดนี้ สมัยนั้น ต้องเดินเข้าตรอกเล็กๆทางด้านถนนจักรพงษ์ หรือถนนที่ข้ามสะพานโค้งนั่นเอง หรือไม่ยังงั้นก็ต้องเดินเข้าทางด้านโค้งถนนพระอาทิตย์ ข้ามสะพานเล็กๆ ผ่านโลงทึมเก็บศพไป
หลวงพี่ของผมเป็นหลวงพี่ของเด็กหนุ่มๆ วัยรุ่น แถวๆ บางลำภูหลายคน หลวงพี่มาจากไหน ไม่มีใครรู้แต่มีคาถาอาคม และเก่งทางทำนะหน้าทอง คือ เศกทองคำเปลวเข้าหน้าผากเป็นความเพิ่มพูนเมตตาและเสน่ห์มหานิยม เด็กรุ่นผมไปหากันเยอะแยะ ก็ไอ้พวกเพื่อนๆผมแถวนั้นนั่นแหละ กินแดนไปจนถึงบางขุนพรหม จรดสะพานเสี้ยว แถวนั้นเป็นแดนของผม เรียกว่าคุ้มกันท้องถิ่นนั้นได้ นักเลงพลัดถิ่นมาวาดลวดลายบริเวณนั้นไม่ได้และสมัยนั้น นักเลงเขาจะรู้จักแดนของกันและกัน ไม่มีรุ่มร่ามผิดที่ทางกันจะไปมาหาสู่กันอย่างมิตร ก็ต้องบอกล่วงหน้ากันก่อน จะได้ต้อนรับตามฐานะถ้ามาโดยไม่บอก ก็อาจจะเจ็บตัวกลับไป
พรรคพวกส่วนมากของผมจึงเป็นลูกศิษย์หลวงพี่องค์นี้สมัยนั้น เก้ายอดมีแล้ว แต่ดังอยู่แถวท่าเตียน แถวๆ วัดเกาะ ก็มีอาจารย์สักรูปหมูที่กระเบนเหน็บ คือ แถวๆเอวตรงด้านหลังพอดี อาจารย์แสงก็มีรูปตัวดีสักอยู่ที่คอหอยส่วนหมูวัดเกาะนั้น มีอุณาโลมอยู่ที่ข้อมือขวา แสดงความเป็นพวก
ตอนนั้นชักจะมีมีดมีไม้ มีปืนกันประปรายแล้ว จึงต้องหาของขลังป้องกันตัว เชื่อกันว่า ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า
พออาจารย์สักหรือทำพิธีเสร็จแล้วก็จะเอามีดดาบฟันฉับเข้าไปกลางหลัง ไม่ให้ลูกศิษย์รู้ตัว ให้เห็นกันจะๆ เลยว่าคมมีดดาบฟันไม่เข้า ขนาดเห็นเป็นแนวแดงพาดหลังเหมือนถูกไม้เรียวขนาดใหญ่เฆี่ยน
แต่พอพ้นอาจารย์มาแล้วทำไมมันเข้าเบ้อก็ไม่รู้
ผมไม่เอาเรื่องสักกลัวเจ็บ เอาแต่เพียงขนาดท่องคาถายาวๆ ถึงสองหน้ากระดาษ ขณะท่องก็ต้องนั่งอยู่บนก้อนหินที่อาจารย์จัดไว้แล้วอาจารย์ก็รดน้ำมนต์ไปพลาง พึมพัมคาถาของอาจารย์ไปด้วย เราก็ว่าของเราไป พอจบทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ก็เป็นอันเสร็จพิธี อาจารย์จะยกหินก้อนโตขึ้นก้อนหนึ่งทุ่มลงไปบนหัวลูกศิษย์ หินจะกระเด้งเหมือนลูกฟุตบอล ตกลงบนพื้น หัวลูกศิษย์เฉย ไม่มีบุบสลาย เป็นอันไปออกสนามได้
แต่ผมไม่เอา
ท่องคาถาเสร็จทั้งลูกศิษย์และอาจารย์ พออาจารย์ยกก้อนหินจะทุ่ม ผมก็เผ่นแผลวจากก้อนหิน ไม่ยอมให้ทุ่ม กลัวเจ็บอีกนั่นแหละ อาจารย์เรียกให้มานั่งให้ทุ่มยังไงๆ ก็ไม่เอาด้วย
วันที่ผมไปทำพิธีนั้น ผมไปคนเดียว และทำอยู่คนเดียว ไม่ได้เห็นว่าก้อนหินมันจะกระดอนจริงๆหรือเปล่า ฟังแต่ลูกศิษย์เขาเล่ากันผมเลยไม่ยอมเสี่ยง เอากันแค่นั้นพอแล้ว เชื่อครึ่งๆ กลางๆ มันเลยไม่ขลัง
แล้วไอ้ตอนที่ขึ้นไปนั่งบนก้อนหินนั้นก็ต้องนั่งตัวเปล่า ไม่มีอะไรห่อหุ้มร่างกายหนาวก็หนาว แก้ผ้าโทงๆ นั่งอยู่ยังงั้น พวกที่นั่งดูนะมี มันก็คงอยากจะเห็นเหมือนกันว่าหินจะกระเด้งจริงไหม
ศรัทธานะมีแต่เรื่องเสี่ยง ผมไม่เอาด้วย
ทำพิธีลงคาถาอาคทแล้วก็ต้องลองของ มีต่อยตีที่ไหนก็ต้องไปร่วมกับเขา ยิ่งเป็นเรื่องของพรรคพวกก็ยิ่งต้องเอาด้วย เจ็บมาก็มี ผมยังมีแผลเป็นที่สันฝ่ามือข้างขวาจนบัดนี้ เป็นรอยมีด มันฝังเข้าไปติดเด่อยู่กับสันฝ่ามือ ไอ้คนที่แทงผม มันชักมีดไม่ออก ไม่รู้ว่ามันลึกแค่ไหนถึงได้ติดเด่อยู่อย่างนั้น ต้องไปให้หมอเอาออก แล้วก็ได้แผลเป็นเป็นที่ระลึกอยู่จนบัดนี้
พลวงพี่ของผมทำขี้ผึ้งมหาเสน่ห์ก็ได้แต่ต้องใช้น้ำมันคางผี และต้องเป็นผีผู้หญิงที่ตายท้องกลม คือ ท้องแก่ตาย ลูกไม่ยอมออกจากท้อง
ยิ่งมีโรงทึมเก็บศพ อยู่ใกล้ๆ กุฎิ หลวงพี่เราก็ยิ่งมีโอกาสใช้แมวมองไปสืบข่าวแถวๆโรงทึมได้ว่า วันไหนเขามีผีตายทั้งกลม หรือตายท้องกลม มาเข้าโรงทึม
หลวงพี่นะมีขี้ผึ้งจากการทำพิธีครั้งก่อนไว้กับตัวบ้างแล้วและจะเอาออกมาแจกจ่ายลูกศิษย์ที่เห็นสมควร พร้อมกับสั่งสอนว่า อย่าเอาไปใช้กับคนที่เขาไม่ได้ทำอะไรให้ หรือใช้กับคนที่มีลูกมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้ว บาปจะเข้าตัว
ไอ้เพื่อนผมคนหนึ่งพาพวกไปนั่งเล่นอยู่บนราวสะพานโค้ง ซึ่งพวกเราชอบปฏิบัติกันแทบทุกเย็น มันควักขี้ผึ้งของอาจารย์ที่ให้มาติดอุ้งเล็บนิ่วชี้ เห็นผู้หญิงเดินมาคนเดียว ผ่านหน้ามา มันก็ใช้นิ้วนั้นสะกิดลองของ
ปรากฎว่าโดนตบ
มันไปบอกหลวงพี่ หลวงพี่ก็บอกว่า เอ็งรู้จักเขาหรือเปล่า มันว่าไม่เคยรู้จัก มันอยากลองของดูว่าจะขลังไหม เลยโดนหลวงพี่เขกหัว บอกว่าเขาคงเป็นผู้หญิงที่มีลูกมีผัวอยู่ มึงจึงโดนตบ ห้ามแล้วไม่ฟัง ว่าไปโน้น