เขียนระหว่างปี พ.ศ. 2526 - 2528
ข้อเขียนเรื่องนี้ของผมผ่านสายตาท่านผู้อ่านไปแล้วอย่างไม่มีอะไรมาตอแยถึง 4 ตอน
ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวเสียก่อนว่า ข้อเขียนของผมที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้นั้น เป็นข้อเขียนที่เขียนออกมาจากความทรงจำ ไม่ได้บันทึกความจำอะไรไว้ ฉะนั้น หากมีอะไรที่ผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเหตุการณ์ก็ดี หรือเรื่องวันเวลาก็ดี ขอให้ท่านผู้รู้ได้โปรดให้คำแนะนำตักเตือนแก้ไขตามสมควรแก่กรณีด้วย เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ผมผู้เขียน และท่านผู้อ่านที่ได้กรุณาติดตามเรื่องนี้ ให้ได้รับความรู้ที่ถูกต้อง เพราะข้อเขียนนี้จะเรียกว่าเป็นประวัติศาสตร์ก็ได้
แต่ว่า ไม่ใช่บทเรียนเพื่อคิดปฏิวัติให้แนบเนียนกว่าคณะที่กระทำไม่สำเร็จนะครับ
อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของผม ทั้งที่แล้ว ๆ มา และที่กำลังเขียนอยู่และจะเขียนต่อไป ผมก็ตั้งใจที่จะเขียนให้ตรงกับความจริงที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องที่ผมได้รับรู้และอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตนเอง ตั้งแต่หลังปี พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นต้นมา เพราะว่าปีนั้นเป็นปีที่ผมสำเร็จการศึกษาออกมาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกสด ๆร้อน ๆ ติดดาวร้อยตำรวจตรีบนบ่า และได้รับพระราชทานยศสัญญาบัตร เป็นร้อยตำรวจตรี แล้วก็โดนผลักออกมาจากสถาบันนั้นให้มารับใช้ชาติบ้านเมืองเสียที หลังจากที่ได้กิน ได้นอน ได้เรียน โดยไม่เสียเงิน มาครบสามปีเต็ม ๆ
ที่นี่เป็นสถาบันแห่งหนึ่ง ที่จบออกมาแล้ว ไม่ต้องเตะฝุ่นอย่างสถาบันอื่น ๆ อีกหลาย ๆแห่ง เขามีงานรอไว้ให้คุณสู้กับมันเรียบร้อยแล้ว จะชอบหรือไม่ชอบก็ต้องยอมรับ ก็งานที่เอาอก รับกระสุน ทั้งในและนอกประเทศ นั่นแหละครับ เพื่อปกป้องทุกสถาบันอันประกอบกันเป็นประเทศไทย
ประเทศที่ทั้งคุณและผมต้องปกป้องรักษาไว้ด้วยชีวิตและเลือดเนื้อ นอกเสียจากว่าคุณจะไม่ใช่บุคคลที่เรียกกันเต็มปากว่า คนไทย
ตอนที่แล้ว ผมเขียนมาถึงตอนที่รัฐบาลของคณะเสรีไทยโดนปฏิวัติ โดยเฉพาะทหารคณะหนึ่งลงไปด้วยง่าย ๆ ด้วยกำลังเพียงกองพันเดียว และรถถังไม่กี่คัน และมีท่านผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น ออกมาดูการปฏิวัติรัฐประหารครั้งนั้นอย่างไม่ใยดีที่จะแก้ไขหรือต่อต้านยับยั้ง
ท่านผู้บัญชาการทหารบกท่านนั้น ยังเป็นเพื่อนร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองสมัยปี พ.ศ. ๒๔๗๕ และเป็นผู้ร่วมขบวนการเสรีไทยกับท่านผู้มีอำนาจในการปกครองสมัยนั้นเสียด้วย
ท่านผู้บัญชาการทหารบกท่านนี้ ท่านนายกหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ซึ่งเป็นมือขวาของท่านปรีดี พนมยงค์ ให้ความไว้วางใจ ถึงกับประกาศท้าว่า นั่งรอนอนรอการปฏิวัติอยู่ ใครจะทำก็เชิญ แสดงว่ามีความมั่นใจในตัวเพื่อนรัก ซึ่งคุมกำลังฝ่ายทหารยกไว้คนเดียว อย่างมาก
แต่เงื่อนไขที่รัฐบาลสร้างเอาไว้ขณะนั้น มันเป็นเงื่อนไขที่เลวร้ายจริง ๆ ที่ประชาชนทั่วไปยอมรับไม่ได้ ก็อย่างที่ผมได้เขียนไว้แล้วว่า เมื่อเกิดมีอำนาจขึ้น ด้วยการได้ช่วยเหลือประเทศชาติไว้ในยามคับขัน ในสงครามที่ประเทศไทย ต้องจำใจเข้าไปร่วมด้วยครั้งนั้น ให้หลุดพ้นจากวิกฤติกาล หลุดพ้นจากการยึดครองของฝ่ายชนะสงครามมาได้ ประชาชนก็ยอมรับในขั้นต้น แต่พอได้อำนาจในการปกครองเต็มที่ ต่างก็ช่วยกันโกงกินและก่อความหายนะให้กับวงการทั่ว ๆ ไป โดยมุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างเดียว ก็เท่ากับเป็นการสร้างเงื่อนไขขึ้นมาโดยความลุ่มหลงตนเอง ไม่ได้นึกถึงความอดอยากของประชาชน ส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นสมัยที่มือใครยาวสาวได้สาวเอาจริง ๆ
ผมเองก็ตกอยู่ในเหตุการณ์นั้นเต็มตัว เพราะต้องรับใช้ชาวคณะเสรีไทยกับเขาด้วย ในฐานะที่เคยร่วมงานเสรีไทยมาด้วยกันในชั้นบุคคลสำคัญของคณะคนหนึ่ง ได้รับการไว้วางใจให้คุมตำแหน่งสำคัญกับเขาด้วย
ผมเป็นสารวัตรด้วยยศเพียงร้อยตำรวจโท เป็นการตอบแทนด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่สมัยนั้น คนที่ได้เป็นสารวัตรในยศร้อยตำรวจโท มีผมคนเดียว
สถานีตำรวจแรกที่ผมได้ไปนั่งในตำแหน่งสารวัตรด้วยยศร้อยตำรวจโทนั้น ก็คือสถานีตำรวจนครบาลภาษีเจริญ ซึ่งขณะนั้นเป็นสถานตำรวจนครบาลชั้นนอก ยังไม่มีอำนาจจากการสอบสวน ยังไม่มีถนนหนทางไปมาถึงที่อย่างทุกวันนี้ จะไปรับหน้าที่ ก็ต้องนั่งรถไปบางแค แล้วนั่งเรือข้ามฝากไปขึ้นที่สถานีอีกที ผมไปนั่งตบยุงที่นั่นได้สามเดือน ก็ได้ย้ายกลับมาฝั่งพระนคร ที่นี่ผมมาเป็นสารวัตรที่ต้องทำงานยิ่งใหญ่เลยทีเดียว คือ มาเป็นสารวัตรแผนก ๑ กองกำกับการ ๑ ตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งสมัยนั้นเป็นแค่กองบังคับการ
ที่ได้มาที่นี่ก็เพราะ นายตำรวจรุ่นพี่ของผมคนหนึ่ง ชื่อว่า ร้อยตำรวจเอก เชื้อ สุวรรณศร จะต้องไปเป็นผู้ช่วยเลขาการรัฐมนตรีมหาดไทย เขาเลือกเอาผมไปเป็นสารวัตรที่นี่แทนเขา ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งใหญ่ งานมันก็ต้องใหญ่ มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีประทุษร้ายถึงตายทั่วประเทศ เรียกว่า มีอำนาจที่จะไปปราบปรามได้ทั่วประเทศ ในคดีที่มีการฆ่ากันตาย ไม่ว่าที่ไหน
ผมอยู่ที่นี่ได้เพียงปีกว่า ก็ผ่าไปปีนเกลียวกับนายโดยตรงเข้าให้ที่นั่น อย่าให้ผมออกชื่อเลยว่า นายคนนั้นเป็นใคร เอาเป็นว่า เขาเป็นพันตำรวจเอก แต่ผมแค่ร้อยตรวจเอก หมาด ๆ เพราะผมมาจากภาษีเจริญด้วยยศร้อยตำรวจโท มาได้สามดาวเอาที่นี่
พอได้สามดาวไม่กี่เดือน ก็มีเรื่องกับนาย ต้องย้ายข้ามไปอยู่ตึกสันติบาล ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน อันเป็นที่ตั้งของกรมตำรวจขณะนี้ ตำแหน่งก็ไม่มี เป็นแค่ประจำกองกำกับการ ๒ ของที่นั่น มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนเรื่องการเมืองอย่างเดียว
แล้วผมก็โดนยัดจมูกด้วยกลิ่นปฏิวัติ โดยญาติผู้ใหญ่ของผม อย่างที่เล่ามาแล้ว
แล้วก็โดนช่วยให้เข้าทำงานด้วย ไม่ต้องไปดมกลิ่นสอบสวนที่ไหน