ปฏิบ้ติธรรมไปเพื่ออะไร
เวลานักภาวนาลงมือภาวนาไปสักระยะ ก็จะเริ่มมีอาการเป๋ ที่หลุดจากเป้าหมายดั่งเดิมในพุทธศาสนาว่า การปฏิบัติภาวนานั้นทำไปเพื่ออะไรกันแน่
ในปรัชญาหลักของพุทธศาสนาคือการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงทางดับทุกข์ นี่คือแก่นของการปฏิบัติภาวนาในพุทธศาสนา
ซี่งพระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบแนวทางทีพระองค์ทรงเรียกว่า ทางสายกลาง อันมีอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติภาวนา ใครก็ตามที่ได้เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง ก็จะสามารถเข้าสู่เส้นทางแห่งมรรคได้ หรือ เส้นทางแห่งการดับทุกข์ได้
ถ้าท่านนักภาวนาทีมีจิตใจเปิดกว้างสักนิด ย้อนดูตัวเองและสิ่งทีตัวเองพบสักหน่อย ท่านก็จะพบความจริงของชีวิตว่า ทุก ๆ วันทีท่านตื่น ไปทำงานหาเลี้ยงชีพ ท่านต้องพบกับผู้คน พบกับปัญหาสารพัดที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์ ซี่งความเป็นทุกข์นี้ ถึงแม้ท่านไม่ได้ทำงานแล้ว เพราะเกษียณอายุแล้ว แต่ร่างกายทีท่านแบกอยู่ มันก็ส่งทุกข์มาถึงท่านได้เช่นกัน
ทุกข์นั้น ท่านไม่มีทางหนีได้พ้นเลย ไม่ว่าใครก็ตาม
ทีนี้ท่านจะมีคำถามมาว่า แล้วเส้นทางแห่งอริยมรรคจะทำให้พ้นทุกข์ได้อย่างไรกันละ ถ้าทุกข์นั้น ไม่มีใครจะหนีมันไปได้
ท่านทีขับรถเป็น ท่านจะพบว่า เวลาทีท่านขับรถไปตามท้องถนน ท่านจะพบสิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นปัญหาระหว่างการขับรถอยู่เสมอ เช่น รถติด ถนนทีเป็นหลุมเป็นบ่อ ถนนทีน้ำท่วม รถคันอื่นทีขับอย่างไร้มารยาทของความเป็นสุภาพชน ป้ายบอกเส้นทางทีไม่ชัดเจนทำให้ท่านหลงทาง และ อืนๆ อีกมาก สิ่งทีท่านพบในท้องถนน ก็เหมือนทุกข์ทีท่านพบในชีวิตเช่นกัน ถ้าท่านขับรถได้อย่างมีประสิทธิภาพพอ ท่านก็สามารถฟันฝ่าสิ่งต่างๆ ทีท่านพบบนท้องถนนจนถึงทีหมายได้อย่างปลอดภัย
การปฏิบัติภาวนาก็เช่นเดียวกันกับการขับรถทีผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็น
ทุกข์ในชิวิตนั้นมีมากมาย การปฏิบัติด้วยเส้นทางแห่งมรรคนั้นจะทำให้ท่านมีประสิทธิภาพสูงในการปฏิบัติตนจนสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาได้
ถ้าท่านพบความสุขสงบอย่างยิ่งในการนั่งสมาธิหลับตาภาวนาตามสำนัก เมื่อท่านออกจากสมาธิหรือกลับมาบ้าน กลับไปทำงานแล้ว ท่านยังคงสุขสงบอย่างนั้นได้หรือไม่ ท่านตอบคำถามตัวเองได้ ยิ่งท่านบอกว่า ท่านนั่งมาหลายปีแล้วทำไมยังพ้นทุกข์ไม่ได้ ท่านน่าจะ**ฉุกคิด**อะไรได้บ้างว่า สิ่งทีท่านทำอยู่มาหลายปี มันคือสิ่งทีพระพุทธเจ้าสอนหรือไม่ ก่อนทีท่านจะตัดสินเองว่า สิ่งทีสอนกันในพุทธศาสนาน้้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทีจะพ้นทุกข์
นักภาวนาทีปฏิบัติตามแนวทางแห่งอริยมรรคมาได้อย่างโชกโชน ก็จะเหมือนนักขับรถทีมีชั่วโมงขับรถมานานจนชำนาญ เมื่อนักภาวนาพบทุกข์ ก็จะสามารถจะจัดการอะไรบางอย่างเพื่อให้พ้นไปจากทุกข์ที่เกิดมาได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับนักขับรถทีหลบหลีกภัยต่างๆ ทีเกิดขึ้นบนท้องถนนได้
เมื่อการภาวนาตามองค์อริยมรรคมาถึงจุดทีเป็นทางแห่งมรรค นักภาวนาจะมีสภาวะแห่งการตื่นของจิต เป็นจิตทีว่องไว สามารถรู้ทุกข์ได้อย่างรวดเร็ว และ จิตจะว่องไวมากเป็นพิเศษ ที่ทุกข์ทียังไม่เกิด แต่กำลังจะเกิด เขาก็จะรู้และปรับตัวได้ทันควันเพื่อให้พ้นไปจากทุกข์ นี่คือ ผลแห่งการภาวนาทีได้จากอริยมรรค
พระอริยบุคคลทั้ง 4 เป็นเพียงการสมมุติเรียกขึ้นมาว่า ท่านเหล่านั้น มีความตื่น หรือ ไวต่อการแก้ไขในทุกข์ได้เร็วมากขนาดไหน ถ้าเร็วมาก ไวมาก ก็เป็นพระอริยบุคคลชั้นทีสูงกว่า
เจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์ทรงใช้อาณาปานสติเป็นเครื่องมือปฏิบัติ ซี่งพระองค์กระทำอย่างนี้ ก็เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของจิต โดยใช้อาณาปานสติเป็นเครื่องมือ พระองค์ไม่ได้ต้องการทีจะไปรู้ลม แต่พระองค์ทรงรู้ลมเพือให้จิตมีประสิทธิภาพ ซี่งเป้าหมายมันต่างกัน
สติปัฏฐาน 4 ทุกบรรพ (บรรพ คือ หมวดหมู่ ) เป็นแนวทางเพื่อให้จิตพัฒนาประสิทธิภาพทั้งนั้น จิตทีมีประสิทธิภาพจะมีคุณสมบัติอย่างหนี่ง คือ ลื่นไหล ไม่เกาะเกียวสิ่งใด ถ้าท่านบอกว่า ปฏิบัติตามสติปัฏฐาน 4 มานานมาก ยังไม่เห็นผลสักที ท่านควรจะพิจารณาว่า สิ่งทีท่านฝีกฝนนั้น มันใช่สติปัฏฐานจริงๆ หรือไม่
ถ้าท่านบอกว่าฝีกสติปัฏฐาน แต่จิตไปจับยีดในฐานใดในสติปัฏฐาน นั้นไม่ใช่การฝีกทีตรงทางแห่งสติปัฏฐาน
แต่ถ้าท่านฝีกสติปัฏฐาน เพียงให้จิตรู้อยู่ในฐาน แล้วไม่จับยีดในสิ่งใด นั้นคือ สติปัฏฐาน
เจ้าชายสิทธัตถะทางใช้ลมหายใจเป็นเครื่องรู้ แต่ไม่จับยีดลมหายใจ นั้นคือ พระองค์ทรงปฏิบัติสติปัฏฐาน แล้วจิตของเจ้าชายก็ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น รู้แจ้งในกองทุกข์ อันเป็นขันธ์ 5 และสภาวะแห่งการไม่ทุกข์ หรือ นิโรธ ได้จากจิตทีทรงประสิทธิภาพนีเอง
****************** ในพระไตรปิฏก สมาธิสูตร ได้มีข้อความย่อ ๆ ดังนี้ว่า ภิกษุ เจริญสมาธิเถิด เมื่อจิตตั้งมั่น จักรู้เห็นธรรมได้ตามความเป็นจริง
เจริญสมาธิอย่างไร จิตจึงจะตั้งมั่น ท่านต้องลงมือวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนครับ
Create Date : 13 สิงหาคม 2556 |
Last Update : 13 สิงหาคม 2556 11:04:35 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1536 Pageviews. |
|
|