การพัฒนาศักยภาพในการหลุดพ้นในพุทธศาสนา
ในพุทธศาสนานั้น แก่นธรรมคืออริยสัจจ์ 4 เมื่อปฏิบัติด้วยแก่นธรรมนี้ด้วยการเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 ผลก็คือมีการหลุดพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวง
การหลุดพ้นไปจากกองทุกข์มี 2 ระดับ กล่าวคือ ระดับที่ 1 หลุดพ้นจากการยีดเกาะติดในทุกข์ที่เป็นอาการของขันธ์ 5 ที่เป็นทุกข์ ระดับที่ 2 หลุดพ้นจากการครอบงำของอวิชชา
ในบทความนี้ จะเขียนเฉพาะระดับที่ 1 เท่านั้น
อันว่า ขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ พูดง่าย ๆ ตามภาษาชาวบ้านก็คือ ร่างกายและจิตใจ ผมจะยกตัวอย่างอาการของขันธ์ 5 ที่ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมา
*เมื่อร่างกายเจ็บป่วย คนก็มักจะเข้าใจว่า ฉันเจ็บป่วย ความเจ็บป่วยนี่เป็นของฉัน พอฉันเจ็บป่วย ฉันก็จะคิดโน่นคิดนี่ที่เป็นการปรุงแต่งเพราะการเจ็บป่วยขึ้นมา รักษาอย่างไรดี ทีไหนรักษาฉันได้ แพงไหม ฉันจะตายไหมนี่ ถ้าฉันตาย ลูกจะอยู่อย่างไร ใครจะเลี้ยงดูลูก และ อื่นๆ อีกมาก ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์
*ผู้ชายคนนี้ใช่เนื้อคู่เราหรือเปล่า เขาเจ้าชู้ไหม เขามีภรรยาแล้วหรือเปล่าแล้วมาหลอกเราว่ายังโสด เมื่อไม่แน่ใจ ก็ยิ่งคิด ก็ปรุงมากขึ้น ก็ยิ่งทุกข์
*เมื่อวานไปหาลูกค้าคนสำคัญ ลูกค้าไม่พอใจเรามาก หัวหน้าจะโกรธเราไหมนี่ เราจะถูกไล่ออกจากงานไหม ถ้าถูกออกจากงานละ จะทำอย่างไร บ้านก็ยังผ่อน ลูกก็ยังเล็ก อีกคนก็ยังเรียน แม่ก็อยู่โรงพยาบาล ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม
นี่เป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงกับคนไทยในปัจจุบันจำนวนมาก
ปัญหาก็คือ ถ้าไปถามเขาว่า คิดกลุ้มใจอย่างนี้ มันดีหรือไม่ ทุกคนจะตอบเหมือนกันว่าไม่ดี ถ้าถามต่อว่า ถ้าไม่ดี แล้วไปคิดทำไม ซี่งคนกลุ้มใจจะไม่รู้ว่าจะหยุดคิดในเรื่องกลุ้มใจนี้ได้อย่างไร
เมื่อคนเกิดกลุ้มใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น การปรุงแต่งที่เป็นอาการกลุ้มใจนี้ จะทำลายประสิทธฺภาพในการแก้ใขปัญหาที่มีอยู่อย่างสิ้นเชิง เมื่อไม่มีประสุิทธิภาพในการแก้ปัญหาทีดีได้ ปัญหาก็จะยังอยุ่ นี่คือ ผลแห่งทุกข์ที่ไปกลุ้มใจ ในภาษาพระเรียกว่า เกิดการยีดติดในทุกข์แล้ว
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในขณะที่คนกำลังรู้สีกกลุ้มใจ เขาจะไม่**ฉุกคิด**เลยว่า เขากำลังกลุ้มใจอยู่ และนี่คือ การไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในควาทุกข์ ต่อเมื่อมีใครมาทักเขาเท่านั้นว่า เขากำลังเป็นทุกข์อยู่นะ เขาก็จะคิดได้ว่าใช่เลย เขากำลังเป็นทุกข์ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะเขายีดติดในทุกข์นั้นแล้ว จะสลัดทุกข์ทีจะหยุดคิดที่ทำให้เกิดทุกข์ก็ทำไม่ได้โดยเร็ว
เมื่อท่านรู้แล้วทุกข์เป็นอย่างไร ต่อไปก็มาดูวิธีการดับทุกข์กัน
ศักยภาพในเรื่องการหลุดพ้นในกองทุกข์นั้น จะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลักด้วยกัน คือ
1.. ท่านรู้ได้เร็วหรือไม่ว่า ท่านเป็นทุกข์แล้ว 2.. เมื่อท่านรู้แล้วว่าเป็นทุกข์ ท่านมีความสามารถในการสลัดทุกข์ออกไปได้หรือไม่
ซึ่ง 2 ปัจจัยหลักนี้ จะคล้ายๆ กับว่า ท่านเป็นสุภาพสตรีสาวสวยกำลังเดินในที่เปลี่ยวอยู่คนเดียว ในขณะทีท่านเดิน ถ้าท่านมัวเพลินกับการคุยกับเพื่อนในโทรศัพท์มือถือ ท่านจะไม่มีประสิทธภาพพอที่จะรู้เลยว่า มีคนร้ายเดินตามท่านมาข้างหลังอย่างเงียบ ๆ นี่เปรียบเหมือน ท่านไม่รู้ว่าท่านกำลังจะมีทุกข์แล้ว แต่เมื่อคนร้ายเกิดจู่โจมท่านข้างหลัง ท่านรู้ตัวแล้วว่า ทุกข์เกิดแล้ว แต่ท่านมีกำลังพอที่จะสลัดการจู่โจมของคนร้ายนี่ได้หรือไม่
การพัฒนาทั้ง 2 ปัจจัยนั้น มีอยู่ทางเดียว คือ การฝีกฝนที่ถูกต้องตามหลักของอริยสัจจ์ 4 คือ เมื่อรู้ทุกข์ แล้วไม่ยีดในทุกข์นั้น
******************
การพัฒนาปัจจัยที่ 1 ท่านต้องการรู้ทุกข์ได้เร็ว จะฝีกอย่างไร
การฝีกฝนนั้น ท่านสมควรรับรู้อาการสั่นไหวที่เกิดขึ้นทีกายแบบไม่ยีดติด ดังที่ผมได้สอนในธรรมบรรยายทุกครั้งทีบ้านหนังสือชินเขต การฝีกรับรู้การสั่นไหวแบบไม่ยีดติดนี่ จะพัฒนาให้ท่านมีประสาททีว่องไวในการรับรู้ว่าทุกข์ได้เกิดแล้ว (ถ้าท่านนีกการฝีกไม่ออก ขอให้ไปดูวิดิโอซ้ำที่มี Link ของ youtube อยู่ในหมวดกิจกรรม )
การพัฒนาปัจจัยที 2 ท่านต้องการกำลังในการหลุดจากทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว
การฝีกฝนนั้น ท่านสมควรฝีกการมองภาพ 3 มิติทีดังทีผมสอนในสัปดาห์วิสาขบูชาในปีนี้ 2556 ก่ารฝีกมองภาพ 3 มิติบ่อยๆ จะทำให้จิตมีการหดกลับเข้าฐาน เมื่อฝีกมาก จิตจะมีพลังในการสลัดออกจากทุกข์ที่เกิดขึ้น ซี่งท่านสามารถวัดผลกับตัวเองได้ว่า สมัยก่อน เวลาทีท่านเป็นทุกข์ ท่านใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะสลัดออกจากทุกข์ได้ แล้วเมื่อท่านมาฝีกมองภาพ 3 มิติ เมื่อผ่านไป 2 เดือนกว่า เวลาในการสลัดออกจากทุกข์ลดลงกว่าได้ไหม ท่านสมควรยอมรับความจริงในชีวิตว่า ทุกข์นั้นยังต้องมีอยู่ การเป็นคนจะมีทุกข์เสมอ การไม่มีทุกข์เป็นไปไม่ได้เลย นอกจากจะโกหกตัวเองเท่านั้นหรือว่าเป็นทุกข์แล้วแต่กลับมองไม่ออกว่าท่านกำลังเป็นทุกข์อยู่
ท่านไม่ต้องไปนีกถึงความไม่มีทุกข์ในระดับนี้ ทุกข์ยังต้องมี เพราะท่านมีขันธ์ 5 แต่ท่านควรมีประสิทธฺิภาพทีดีทีจะไม่ยีดในทุกข์นั้น ๆ ได้เร็ว นี่คือ สิ่งทีท่านควรทำความเข้าใจให้ตรงในการภาวนา ถ้าท่านหวังจะเป็นโสดาบัน แต่ยังมียีดทุกข์อยู่เล่า ๆ โสดาบันจะมีประโยชน์อะไรกันถ้ายังยีดทุกข์อยู่อย่างหนาแน่นอย่างเดิมเหมือนกับปุถุชน ในพระไตรปิฏกได้กล่าวถึงปฐมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สิ่งใดไม่เทียง เป็นทุกข์ ไม่สมควรไปยีดถือว่า นั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา การเป็นโสดาบันคือการไม่ยีดในทุกข์อย่างนี้ที่มีการกล่าวไว้ในพระไตรปิฏก
ท่านอย่าไปกลัวว่า จะไม่ได้เป็นโสดาบัน ถ้าท่านฝีกฝนแล้วรู้ทุกข์ได้เร็ว สลัดทุกข์ออกได้ไว ผลทั้ง 2 นี้ จะทำให้ท่านมีปัญญาเห็นจริงตามคำสอนในพระไตรปิฏกว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นไม่เทียง เป็นทุกข์ แล้วจิตท่านไม่ยีดในทุกข์เหล่านั้นได้เป็นอย่างดีแล้ว นั่นแหละ ปัญญาในขั้นโสดาบันภูมิได้เกิดแก่ท่านแล้วโดยไม่ต้องไปถามใคร เพราะท่านประจักษ์แจ้งด้วยตนเองเป็นอย่างดี ซี่งท่านจะเคารพคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงประทานให้แก่พุทธบริษัท เพราะท่านได้พิสูจน์คำสอนดังกล่าวแล้วว่าเป็นจริง นีคือการเคารพนับถือในพระรัตนตรัยได้เกิดแก่ท่านด้วยการประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่การใช้เพียงศรัทธานำแล้วเชื่อตามไปก่อน ความเข้มข้นในการเคารพพระรัตนตรัยมันผิดกันมากครับ!
Create Date : 07 สิงหาคม 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 8 สิงหาคม 2556 15:43:33 น. |
Counter : 1866 Pageviews. |
|
|
|