ทำอานาปานสติแล้วกลัวผี ความคิดชอบโผล่มา คิดถึงแต่เรื่องร้าย ๆ
ผมเข้าไปอ่านคำถามในห้องภาวนา พบคำถามหนึ่งที่ผมน่าจะนำมาแสดงไว้ เพราะผมเชื่อว่า คำถามนี้เป็นคำถามที่ classic มาก ๆ ที่คนที่เข้าสู่วงการภาวนาจะพบกันทุกคน ท่านที่ถามมาเล่าปัญหาของเขาแบบนี้ ผมตัดต่อคำถามมาได้ดังนี้
***** หัดทำอานาปานสติ พอจิตสงบ ก็รู้สึกเหมือนมีใครอยู่ข้างหลัง แล้วก็เกิดกลัวผีขึ้นมา คนที่สอนทำภาวนาก็บอกว่าให้แผ่เมตตา พอแผ่เมตตา ความกลัวผีก็หายไป ต่อมาไปทำเองที่บ้าน พอจิตเริ่มสงบ ก็จะมีความคิดโผล่มาตลอด ทำให้จิตไม่สงบสักที ในความคิด ก็มักไปคิดเรื่องร้าย ๆ ทีตัวเองได้ทำไว้ตอนเด็ก ๆ คำถามก็คือควรทำอย่างไรดี ******
ต่อไปนี้เป็นความเห็นของผม ผมจะแยกเป็นข้อ ๆ ให้เห็นชัด
1. พอจิตสงบ ก็รู้สึกเหมือนมีใครอยู่ข้างหลัง แล้วเกิดกลัวผี พอแผ่เมตตา ความกลัวก็หายไป
>> เรื่องนี้ มี 2 ประเด็นทีสมควรทำความเข้าใจ คือ พอจิตสงบ แล้ว รู้สึกเหมือนมีใครอยู่ข้างหลัง แล้วเกิดกลัวผี
เรื่องนี้ เป็นอาการอย่างหนึ่งของจิตปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเมื่อจิตเริ่มสงบ ซึ่งอาการนี้ก็คือ ความคิด ของนักภาวนาเอง ที่จิตปรุงแต่งมันสร้างเรื่องขึ้นมา แต่นักภาวนายังอ่อนในสติ จึงหลงไปยึดเข้า
ประเด็นต่อมาก็คือ พอแผ่เมตตา ทำไมความกลัวผีจึงหายไป การแผ่เมตตา ช่วยได้จริงหรือ
เรื่องนี้เป็นอย่างนี้ครับ พอจิตปรุงแต่งเกิดแล้วจิตนักภาวนาไปยึดเข้า พอเขาแผ่เมตตา นี่เป็นความคิดใหม่ที่เขาสร้างขึ้นมา เนื่องจากจิตทำงานได้ครั้งละ 1 อย่าง พอเขาสร้างความคิดใหม่ขึ้นมาเท่านั้น ความคิดเก่าที่กลัวผีก็จะหายไป ทำให้เขาจึงรู้สึกว่า การแผ่เมตตานี่ดี ทำให้หายกลัวผีได้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นเพราะเขาไปสร้างความคิดใหม่ขึ้นมาแทนความคิดเก่าเรื่องกลัวผีต่างหาก
ในบางสำนักที่สอนคำบริกรรม พอนักภาวนาเกิดอาการจิตปรุงแต่งขึ้น เขาก็สอนให้บริกรรมเร็ว ๆ แล้วจิตปรุงแต่งจะหายไป นี่ก็เหมือนกัน พอนักภาวนาบริกรรมเร็วๆ เขาไปสร้างจิตปรุงแต่งตัวใหม่ที่เป็นคำบริกรรมขึ้นมา พอเขาบริกรรมเร็ว ก็เพื่อปิดการปรุงแต่งของจิตไม่ให้เกิดขึ้น
นี่คือธรรมชาติของจิตและจิตปรุงแต่งทีนักภาวนาสมควรทำความเข้าใจในเรื่องนี้ เพื่อจะได้รู้ความจริงของการทำงานของจิต
2..พอมาทำที่บ้าน จิตเริ่มสงบ ความคิดก็เริ่มมา และชอบคิดเรื่องร้าย ๆ ในอดีต ก็พยายามหาทางออก จึงมาถามหาทางออก
>> อาการนี้ก็เหมือนข้อ 1 ที่เป็นเพียงความคิดที่สร้างขึ้นโดยจิต แล้วนักภาวนาไปยึดเข้า ก็เกิดไม่ชอบใจ อยากให้ความคิดมันไม่โผล่ขึ้นมา ยิ่งเป็นความคิดเรื่องร้ายๆ ทีตัวเองเคยทำในวัยเด็ก ยิ่งไม่อยากให้คิดใหญ่
เรื่องแบบนี้ เป็นเพราะนักภาวนาไม่ได้ศึกษาอริยสัจจ์ 4 ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วก็ลงมือไปภาวนาทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่เข้าใจ
เรื่องนี้ มีประเด็นที่ผมจะชี้ให้ท่านเห็นดังนี้
เรื่องความคิดโผล่มา พอจิตเริ่มสงบ นี่เป็นสิ่งที่ดีที่แสดงให้เห็นว่า นักภาวนานั้นไม่ได้กดข่มจิตอย่างหนักหน่วง ความคิดจึงยังโผล่มาได้อยู่ ถ้าพูดถึงอริยสัจจ์ 4 ความคิดนี่ก็คือ ทุกข์ ในอริยสัจจ์ ที่เป็นข้อ 1 ในอริยสัจจ์ 4 ซึ่งบัดนี้ ทุกข์ได้ปรากฏให้นักภาวนารู้แล้ว แต่นักภาวนาไม่รู้จักเองว่านี่คือสิ่งทีต้องการรู้ในการภาวนา
เพียงแต่ว่า นักภาวนาไม่เข้าใจว่านี่คือ ทุกข์ ที่ปรากฏให้รู้ตามอริยสัจจ์ 4 เมื่อนักภาวนาไม่รู้เรื่องอริยสัจจ์ 4 ก็หลงไปอีก ไม่ทำตามอริยสัจจ์ 4 ข้อที 2 ทีว่า ตัณหา คือสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ ให้ละเสีย แทนทีนักภาวนาจะไปละความคิดที่อยากให้หายไป กลับไปสร้างวิภาวตัณหาเพิ่มมาอีก เกิดความอยากที่ไม่ต้องการสภาวะแบบนี้ คือไม่ต้องการให้ความคิดมันโผล่มา ทำให้เกิดทุกข์ซ้อนเพิ่มขึ้นมาแบบไม่รู้ตัวเลย
3..แล้วนักภาวนาควรทำอย่างไรต่อไป
นักภาวนาสมควรทำความเข้าใจเรื่องคำสอนในอริยสัจจ์ 4 ให้เข้าใจให้ดีก่อน ถ้านักภาวนาเข้าใจแล้ว นักภาวนาจะพบเองว่า อันความคิดนี่คือ ทุกข์ ในอริยสัจจ์ 4 เมื่อความคิดเกิดขึ้น ทุกข์ได้เกิดแล้ว ซึ่งตรงตามคำสอนของอริยสัจจ์ 4 แล้ว เมื่อทุกข์เกิดแล้ว นักภาวนาก็ทำตามอริยสัจจ์ 4 ข้อที่ 2 เสีย ให้ละตัณหา ก็คือ ให้รู้ทุกข์ รู้ความคิดที่เกิดขึ้นมาอย่างเฉยๆ ไม่ต้องอยากให้ความคิดมันหายไป ความคิดเกิดก็ให้รู้ไว้ แล้วเฉยๆ ก็เพียงเท่านี้เอง
ผมเข้าใจดีครับว่า ไม่มีใครชอบเรื่องแบบนี้ในการภาวนา ยิ่งเป็นเรื่องร้าย ๆ ยิ่งไม่มีใครชอบเลย แต่นี่คือ **ยาชั้นดีที่แสนขมสุด ๆ ** ที่เกิดขึ้น ถ้านักภาวนาเพียงอดทนกินยาแสนขมนี้ โดยการรู้ทุกข์แบบเฉย ๆ เท่านั้น การรู้แบบนี้ไปเรื่อย ๆ จะทำให้เกิดพลังจิตสูงขึ้น พลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็จะเกิดเพิ่มมากขึ้นได้ พอเพิ่มมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง ก็เกิดจิตแยกตัวออกได้แล้ว ซึ่งจะเป็นความก้าวหน้าทางการภาวนาของเขาเอง
เพียงแต่ว่า นักภาวนาไม่อยากกินยาแสนขม ซึ่งนักภาวนาต้องอดทนเพื่อสิ่งที่ดีกว่าในอนาคต
ในการภาวนานั้น นักภาวนามือใหม่มักมีกำลังสัมมาสติและสัมมาสมาธิอ่อนแอมาก พอเกิดจิตปรุงแต่งเท่านั้น ก็หลงไปยึดทันที แล้วก็เกิดทุกข์ตามมา แต่เมื่อนักภาวนามีกำลังจิตสูงขึ้น จิตแยกตัวออกมาได้แล้ว ความคิดที่เกิดขึ้นอันเป็นทุกข์ในอริยสัจจ์ 4 ก็ยังปรากฏตัวตลอด มันไม่หายไปไหนหรอก ตราบเท่าที่คนยังไม่ตาย แต่เมื่อกำลังจิตมากขึ้น จิตแยกตัวออกได้ก็จริง จิตไปเห็นจิตปรุงแต่งเข้าเท่านั้น จิตปรุงแต่งจะสลายตัวเป็นไตรลักษณ์ทันทีให้จิตได้เห็น นี่คือปัญญาอย่างแท้จริงที่นักภาวนาจะได้จากการภาวนา เพียงแต่นักภาวนาต้องอดทนเข้าไว้ โดยเดินตามคำสอนในอริยสัจจ์ 4 ที่ว่า ทุกข์ให้รู้ สมุทัย คือตัณหา ให้ละเสีย
การที่ความคิดเกิดบ่อยๆ แล้วนักภาวนาเห็นความคิดมันสลายไปเป็นไตรลักษณ์ได้เองเพราะเกิดจิตที่แยกตัวแล้ว นี่เป็นขั้นต้นที่นักภาวนาจะได้จากการภาวนา ถ้ายังไม่ได้แบบนี้ ก็ยังไม่ได้ขั้นต้นของการภาวนา เมื่อขั้นต้นยังไม่ได้ ขั้นต่อไปจะได้อย่างไรกัน
4. วิเคราะห์การภาวนา
ผมเชื่อว่า นักภาวนาท่านนี้ ทำอานาปานสติ โดยการไปรู้ลมที่ปลายจมูก การไปรู้ลมที่ปลายจมูก จิตจะวิ่งขึ้นสูงระดับใบหน้า แล้ว โอกาสจะเกิดจิตปรุงแต่งขึ้นมาได้ง่ายมากถ้าเขาภาวนาแบบไม่หนักแน่นในการรู้ แต่ถ้าเขารู้แบบหนักแน่นจะไม่เกิดอาการนี้ แต่จะเกิดโมหะเข้าครอบแทน
นักภาวนามือใหม่บางท่าน พอทำอานาปานสติแล้วเกิดความคิดขึ้นมา ก็ไปยึดลมที่ปลายจมูกให้แน่นขึ้นไปอีก เพราะเมื่อทำอย่างนี้ ความคิดที่ผุดบ่อย ๆ ก็ลดลงไปหรือไม่เกิดอีกเลย นี่ก็ยังเป็นการไปสร้างภาวตัณหาขึ้นมาเพิ่มขึ้นอีกอย่างรู้เท่าไม่ถึงการ ซึ่งการทำอย่างนี้ล้วนแต่ไม่เป็นไปตามอริยสัจจ์ 4 ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ทั้งสิ้น
โดยส่วนตัว ถ้าเป็นมือใหม่ ผมจะไม่แนะนำให้รู้กายด้วยอานาปานสติ แต่ผมจะแนะนำการเดินจงกรมแทน ซึ่งการรู้กายจากการเดินจงกรมนั้นจะง่ายกว่าการรู้ลม แต่ถ้าเป็นมือเก่าที่ชำนาญ ที่จิตแยกตัวได้แล้ว การรู้ลมเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะท่านรู้จักวิธีรู้แล้วว่า การรู้ทุกข์ในอริยสัจจ์นั้น ต้องรู้แบบจิตที่แยกตัวออกมาแบบไม่ยึดติด
Create Date : 05 มิถุนายน 2555 |
Last Update : 7 มิถุนายน 2555 8:31:31 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1906 Pageviews. |
|
|