ก่อนที่จะเข้าเรื่องของอานาปานสติภาวนา ผมจะนำเสนอเรื่องของสมาธิก่อน เพื่อให้ท่านเข้าใจว่า สมาธินั้นเป็นอย่างไร
1. สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิแนวพุทธที่ใช้เจริญเพื่อเกื้อหนุนวิปัสสนา
2. สมาธิแนวฤาษี เป็นสมาธิที่ทำกันมาก่อนสัมมาสมาธิ มีมาช้านานก่อนสมัยพุทธกาล สมาธิแบบนี้เป็นสมาธิที่ไม่เกื้อหนุนวิปัสสนา
ในความต่างกันระหว่างสมาธิ 2 แบบนี้ คือ สัมมาสมาธิ เมื่อทำแล้วจิตตั้งมั่นเป็น**อิสระ** จิตไม่ไปจับยึดติดในสิ่งที่จิตไปรับรู้เข้า ยิ่งไม่จับยึด จิตอยู่ในฐานที่ตั้งตลอด นี่คือการได้สัมมาสมาธิ
ส่วนสมาธิแบบฤาษี นั้นเป็นสมาธิที่ทำแล้ว จิตจะเข้าจับยึดกับสิ่งที่จิตไปรับรู้เข้า ยิ่งจับยึดแน่นมากเท่าใดจะยิ่งได้สมาธิ
ท่านเห็นความต่างของสมาธิทั้ง 2 ใหมครับ ว่าต่างกันอย่างไร ซึ่งผมมีเขียนเรื่องของสมาธิแบบนี้ไว้ในเรื่องตาม link ข้างล่างนี้
เมื่อท่านทราบเรื่องของสมาธิแล้ว ต่อไปที่ผมจะทำความเข้าใจก็คือ คำว่า สมถกรรมฐาน
ในตำรา สมถกรรมฐาน คือ กรรมฐานที่ทำแล้วเพื่อให้จิตสงบระงับจากนิวรณ์ 5 (ถ้าท่านไม่รู้จักนิวรณ์ 5 ขอให้ไปหาอ่านเองใน google ซึ่งมีข้อเขียนเรื่องนี้ไว้มากมายแล้ว )
การทำสมาธิทั้ง 2 แบบข้างต้น ไม่ว่าแบบสัมมาสมาธิ หรือ สมาธิแบบฤาษี ถ้าทำถูกต้องตามแบบแผนที่มีไว้ ก็สามารถทำให้จิตสงบได้เช่นกัน แต่ผลที่ได้ไม่เหมือนกันในสมาธิทั้ง 2 แบบนี้
สำหรับคนที่ใช้ลมหายใจเป็นฐานของการทำสมาธิ ถ้าทำแบบสัมมาสมาธิ คือรู้ลมหายใจ แต่**ไม่ยึดติด**ในลมหายใจ จะรู้ลมหายใจแบบรู้ห่าง ๆ
แต่ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิ จะยึดติดลมหายใจอย่างแนบแน่นกับลม ที่ทำกันมากก็คือ การยึดติดลมหายใจโดยการส่งจิตไปรับรู้ลมที่ปลายจมูกให้มีแต่ลมอย่างเดียวเท่านั้น อย่างอื่นไม่เข้ามารับรู้เลย นี่คือความต่างกันระหว่างการทำสมถกรรมฐานทั้ง 2 แบบ
ก่อนที่ผมจะไปต่อ เรื่องของสมถกรรมฐานแบบสัมมาสมาธิ ผมขอให้ท่านเข้าไปอ่านเรื่อง รู้ทีสมดุลย์ และ รู้ที่ไม่สมดุลย์ ก่อน
ใน link ในเรื่อง รู้ที่ไม่สมดุลย์ ขอให้ดูรูปด้านขวามือ ผมได้เขียนรูปไว้ โดยการเน้นรู้ที่ลมหายใจ การเน้นรู้แบบนี้จะเป็นสมถภาวนาทีใช้ลมหายใจ นักภาวนาจะสนใจลมหายใจก็จริง แต่ไม่ส่งจิตไปยึดลมหายใจ โดยอายตนะอื่นก็ยังทำหน้าที่ได้อยู่ เช่น ตาก็ยังมองเห็นได้ หูก็ยังได้ยินได้ ถ้ามีลมมากระทบกายก็รู้สึกได้ แต่การรู้ที่อายตนะอื่นจะเบากว่าการรู้ที่ลมหายใจ
การเกิดขึ้นของพลังงานความคิดใน มโน นี่แหละครับ คือ การเป็นสมถภาวนาทีใช้ลมหายใจเป็นฐานการรู้
ผลแห่งสมถกรรมฐานแบบนี้ ที่เกิดพลังงานความคิดใน มโน เพื่อไปเน้นรู้ลมหายใจ ผลก็คือ จิตจะถูกกดไว้ไม่ให้ไปคิดเรื่องอื่น ดังนั้น ถ้าฝึกสมถภาวนาแบบนี้ได้ ผลก็คือ ความฟุ่งซ่านจะหายไป
นักภาวนาที่ขาดผู้ชี้แนะทีตรงทาง พอมาทำแบบนี้ จะรู้สึกที่ดีมาก จิตใจสดใส ไร้ความฟุ่งซ่าน บางคนถึงกับคิดว่า ตนสำเร็จธรรมไปแล้วก็ยังมี
ท่านอาจมีคำถามในใจว่า การทำสมถกรรมฐานแบบนี้ ที่ใช้ไปรับรู้ถึงการหายใจ แบบไม่ยึดติดในส่วนใดของร่างกาย จะไปเกื้อหนุนต่อวิปัสสนาอย่างไร...
>> ถ้าท่านย้อนกลับไปดูข้างบนที่ผมเขียน ผมเขียนไว้ว่า การเป็นสมถ เพราะว่า เกิดพลังงานความคิดใน มโน ขึ้น เนื่องจากนักภาวนาไปสนใจในลมหายใจ ถ้านักภาวนาต้องการเจริญวิปัสสนาต่อไปจากการทำสมถแบบนี้ ก็เพื่องเลิกสนใจลมหายใจ แล้ว เพียงแต่รู้สึกตัวและปล่อยจิตเป็นอิสระไว้ตามธรรมชาติของเขาเพียงเท่านี้เอง พลังงานความคิดใน มโน ก็จะสลายลงไป นี่คือสภาวะที่จิตพร้อมที่จะเจริญวิปัสสนาได้แล้ว
ทีนี้ ผมเชื่อว่าท่านจะสงสัยต่อไปว่า เมื่อเลิกสนใจลมหายใจ ให้เพียงรู้สึกตัวแล้วปล่อยจิตเป็นอิสระไว้ตามธรรมชาติ พลังงานความคิดหายไปแล้ว ลมหายใจจะปรากฏอย่างไรในวิปัสสนา....
>>> ถ้านักภาวนาเพียงดำเนินตามทีผมว่า เมื่อเลิกสนใจลมหายใจ ลมหายใจจะปรากฏในลักษณะของการรู้ที่เบา ๆ และ ลอยๆ ไร้ตำแหน่งที่อยู่ว่าอยู่ทีใด คล้ายๆ กับท่านดูภาพยนต์แล้วมีฉากพระเอง นางเอง พูดจู๋จี่กัน แต่มีเสียงเพลงบรรรเลงเบา ๆ ไว้ประกอบฉาก เสียงเพลงเบา ๆ ประกอบฉาก นี่คือลมหายใจ ทีแสดงตัวอยู่ในการเจริญวิปัสสนา
ที่นี้ ผมเชื่อว่า นักภาวนาจะสงสัยต่อไป แล้วการเจริญวิปัสสนาโดยใช้ลมหายใจนี่เขาเจริญอย่างไร
>>> เมื่อนักภาวนาเจริญสมถกรรมฐานโดยใช้ลมหายใจ ถ้าจิตมีกำลังตั้งมั่นไม่ยึดติดกับลมหายใจได้บางแล้ว ต่อมาจะเจริญวิปัสสนาต่อไป ก็เพียงเลิกสนใจลมหายใจก่อน พอเลิกสนใจลมหายใจ พลังงานความคิดที่เคยโผล่อยู่ก่อนหน้าเพราะการสนใจลมหายใจ จะหายไป ลมหายใจจะปรากฏตัวเบา ๆ ลอย ๆ ให้นักภาวนารับรู้ นักภาวนาดำรงค์อยู่ในสภาพเช่นนี้ เฉย ๆ เพื่อรอเวลาให้ * พลังงานความคิด * ตัวใหม่ ที่อาจเป็นอะไรก็ได้ มันโผล่มาเอง เมื่อพลังงานความคิดตัวใหม่โผล่มาแล้ว นักภาวนาอาศัยพลังจิตทีตั้งมั่นจากการเจริญสมถภาวนาก่อนหน้านี้ ไปเห็นพลังงงานความคิดตัวใหม่ที่โผล่มาเองนี้ได้ เมื่อเห็นแล้ว พลังงานความคิดตัวใหม่นี้จะสลายตัวไปเองตามธรรมชาติเป็นไตรลักษณ์ นักภาวนาจะเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของพลังงานความคิดนี้ เมื่อพลังงานความคิดตัวที่ 1 มาแล้วสลายไป ก็รอต่อไป ให้พลังงานความคิดตัวต่อมาโผล่ขึ้น แล้วสลายไป วนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นี่คือการเจริญวิปัสสนา
แต่ถ้าเมื่อไร ทีพลังสัมมาสมาธิตั้งมั่นถดถอยลง พลังงานความคิดโผล่มาอีก นักภาวนาไม่เห็นเป็นไตรลักษณ์ได้อีกต่อไป จิตกลับวิ่งไปยึดพลังงานความคิดที่โผล่มานั้น ถ้าท่านนักภาวนาเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่า ท่านไม่อาจเจริญวิปัสสนาได้ต่อไปได้อีกแล้ว เพราะจิตหมดสมาธิ ไม่มีความตั้งมั่นไปแล้ว ท่านสมควรหยุดพักผ่อน ก่อน สักระยะหนึ่ง แล้วถ้าจะเจริญสมถภาวนาโดยใช้ลมหายใจ ก็ทำต่อไป
บทความนี้ อาจอ่านแล้วเข้าใจยากสักหน่อย เพราะต้องอาศัยความรู้พื้นฐานอื่นๆ ประกอบ และผมก็มี link โยงไปโยงมาให้อ่านอีก
หวังว่าคงได้รับประโยชน์ครับ