ปฏิบัติธรรมอย่างไร จึงจะมีวิปัสสนาทีเห็นการเกิดดับของจิตปรุงแต่งได้
1...บทความนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวล้วน ๆ ท่านทีเข้ามาอ่าน แนะนำให้อ่านด้วยวิจารณญาณ และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อความเจริญในธรรมสืบต่อไป . ก่อนทีจะอ่านต่อไป แนะนำให้อาน 2 เรื่องนี้ก่อน เพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจก่อนทีจะอ่านต่อไป ถ้าไม่อ่านก่อน จะอ่านบทความทีจะเขียนเรื่องวิปัสสนาทีเห็นการเกิดดับไม่เข้าใจ .>>>เรื่องแนะนำอ่านเรื่องที่ 1 เจ้าชายสิทธัตถะทรงรู้อะไรในคืนวันตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=16-12-2019&group=17&gblog=182>>>เรื่องแนะนำอ่านเรื่องที่ 2 ทุกข์ทางใจ ทุกข์ทางกาย ในการภาวนา เป็นอย่างไร https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=03-2021&date=11&group=17&gblog=209 . 2..ท่านทีเข้ามาอ่านบทความทีแนะนำอ่านก่อน 2 เรื่องแล้ว ต่อไป ขอให้อ่านต่อไปได้แล้วครับ 3..จิตปรุงแต่งของคนเรานั้น เกิดขึ้นที เรือน (คำว่า เรือน มีอธิบายอยู่ในเรื่องทีแนะนำให้อ่านก่อน ) ซี่ง การกิดจิตปรุงแต่งขี้นได้นั้น จะมีขบวนการดังนี้ >> A.. เริ่มจากมีผัสสะเข้ามาที่อายตนะก่อน เช่น ตามองเห็นสิ่งต่่าง ๆ หูได่ยินเสียง >> B.. เมื่อมีผัสสะเข้ามาทีอายตนะแล้ว คนที่มีตัณหาในจิต ก็จะไปสร้างขันธ์ 5 ทีเรือนขึ้น ขันธ์ 5 ทีเกิดขึ้นทีเรือนนี้ ทำให้คนเราสามรรถนึกคิดได้ เข้าใจในเรื่องราวทีรับรู้เข้ามาทางอายตนะได้ ซี่งในวงการภาวนา เรียกว่า มีความคิด เกิดขึ้น >> C.. เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น จิตตัวรู้ ( มีกล่าวถึงในบทความแนะนำอ่าน ) จะถูกดูดเข้ามาที เรือน เมื่อ จิตตัวรู้ ถูกดูดเข้ามาทีเรือนแล้ว ถ้ามีการปรุงแต่งทีเป็นอาการพอใจ หรือ ไม่พอใจ เกิดขึ้น การปรุงแต่งนั้นจะอยู่ได้ยาวนาน และทำให้คนทีมีอารมณ์ปรุงแต่งเกิดนั้น ตกเป็นทาสของอารมณ์ปรุงแต่งไปทันที ( ภาษาธรรมเรียกว่า มีโมหะครอบงำจิตเกิดขึ้น ) และเกิดมิจฉาทิฐิขึ้นว่า อารมณ์ปรุงแต่งนี้ เป็นเรา เรามีอารมณ์ปรุงแต่งทีกำลังเกิดอยู่นี้ ( ภาษาธรรมเรียกว่า การมีมิจฉาทิฐิ ) . 4..จากข้อ 3 ข้อย่อย >>C จะเห็นว่า เงื่อนไขสำคัญทีเกิดการปรุงแต่งอยู่ยาวนานก็คือ จิตตัวรู้ ถูกดูดเข้าไปใน <เรือน> ด้วยแรงตัณหา ถ้า จิตตัวรู้ สามารถ หลุดออกจากการดึงดูดทีเรือนได้เมื่อใด จิตตัวรู้ไม่อยู่ในเรือนอีกแล้ว อาการจิตปรุงแต่งทีเรือนก็จะดับลงไปแล้วสลายไปเป็นไตรลักษณ์ ซี่ง จิตตัวรุ้ ทีหลุดออกจากเรือนจะเห็นอาการไตรลักษณ์นี้ได้ด้วย (ภาษาธรรม เรียกการหลุดออกนี้ ไม่รวมกับเรื่อนนี้ว่า การแยกรูปนาม หรือ วิปัสสนาญาณชั้นที่ 1 ของ วิปัสสนาญาณ 16 ขั้น ) เมือ่การแยกรูปนามหรือการหลุดออกจากเรือนได้ของจิตตัวรูู้ ได้เกิดขึ้น สิ่งทีจะตามมาก็คือ จิตมีประสบการณ์ของสัมมาสมาธิ เพิ่มขึ้นจากเดิม และการทีจิตตัวรู้ เห็นไตรลักษณ์ของอารมณ์ปรุงแต่งได้ สิ่งทีจะได้คือ ปัญญา ทำให้เห็นได้ว่า อารมณ์ปรุงแต่งนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา การหลุดออกนี้ ใช้เวลาสั้นมาก ๆ สั้นประมาณการพริบตา ก็สำเร็จแลว ทุกข์จึงดับไปได้เร็ว อาการหลุดแบบนี้ เกิดในคนทีมีการฝีกฝนสติปัฏฐาน 4 มาบ้างและจิตมีกำลังของ สัมมาสมาธิตั้งมั่นพอสมควรแล้ว .แต่ถ้าจิตตัวรู้ ไม่สามารถหลุดออกมาจากเรือนได้ด้วยกำลังจิตแบบการแยกรูปนาม จะได้ผลดังนี้ อารมณ์ปรุงแต่งจะเกิดต่อเนืองได้ยาวนาน ทำให้จมอยู่ในทุกข์ต่อไปอีกยาวนาน เมื่อเวลาผ่านไป อารมณ์ปรุงแต่งก็จะสามารถค่อย ๆ ดับลงไปได้เอง แต่จะใช้เวลานาน การดับไปเองด้วยการใช้เวลานานในการดับ ทำให้ไม่มีปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของจิตปรุงแต่ง จึงไม่มีปัญญาเกิด ยังมีมิจฉาทิฐิอยู่ว่า การปรุงแต่งนั้นเป็นเรา เรามีอารมณ์ปรุงแต่ง และ การปล่อยให้ดับไปเองแบบนี้ ไม่มีผลต่อการพัฒนาสัมมาสมาธิให้มีพลังมากขึ้น ซี่งอาการแบบนี้ เกิดในคนทั่วไป ทีไม่มีการฝีกฝนสติปัฏฐาน 4 หรือ คนทีปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 มาแต่ฝีกแล้วยังไม่มีกำลังของสัมมาสมาธิเกิดขึ้นมากพอ . 5..การแก้ไขทุกข์นั้น แนะนำว่า ควรแก้ทีตนเหตุ ไม่ใช่ปล่อยให้ทุกข์เกิดแล้วดับไปเองตามเวลาทีผ่านไป ซึ่งการแก้ที่ต้นเหตุ จะทำให้เกิดปัญญา และ มรรคผลในพุทธศาสนาต่อไปได้ . คำถามทีคงจะมีเกิดขึ้นต่อท่านทีเป็นนักภาวนาทีต้องการพบมรรคผลว่า จะทำให้อย่างไร จิตของตนจึงจะมีความสามารถในการแยกรูปนามนี้ได้ คำตอบจากผู้เขียนก็คือ การฝีกฝนสติปัฏฐานอย่างต่อเนื่อง ฝีกทุกวัน แต่ไม่หักโหมเกินไป . เนื่องจาก สติปัฏฐาน 4 มีด้วยการหลายหมวด และ ยังมีข้อย่อยในแต่ละหมวดอีก จะใช้หมวดใดในการฝีกฝนจึงจะเหมาะแก่ตนเอง และ ควรรับการฝีกในสำนักใดจึงจะดีสำหรับตน . คำถามนี้ ผู้เขียนยากทีจะตอบได้ เพราะจริตคนนั้นต่างกัน สิ่งแวดล้อมก็ต่างกัน จึงเป็นสิ่งทีท่านผู้อ่านคงจะต้องทดลองดูเองว่า เมื่อได้ฝีกฝนตามวิธีการใด ของสำนักใดไปแล้ว จิตจะมีความสามรถทีจะเกิดขบวนการแยกรูปนามได้หรือไม่ ถ้ายังไม่ได้ ก็อาจเป็นว่า ยังฝีกไม่ได้ที่ดีนัก หรือ สิ่งทีฝึกไม่ถูกจริตของตน . แต่การฝีกฝน อย่าได้ด่วนสรุปว่า สิ่งทีตนฝีกนั้นใช้ไม่ได้ แยกรูปนามไม่ได้ เพราะขบวนการบ่มเพาะกำลังจิตและประสบการณ์แยกรุปนามได้ ต้องใช้เวลา ค่อนข้างนาน บางคนอาจเป็นหลาย ๆ เดือน หรือ เป็นปี จึงจะได้ครั้งแรก แต่พอได้ครั้งแรกแล้ว ก็พบว่า ต่อมาก็แยกไม่ได้อีก และอีกนาน กว่าจะแยกรูปนามได้เป็นครั้งที่สอง ครั้งทีสาม สี่ ห้า ...... แต่ถ้าหมั่นฝีกฝนต่อไป ก็จะค่อย ๆพัฒนากำลังจิตให้มีพลังมากขึ้นเอง แต่ต้องใช้เวลานาน เป็นปี หรือ หลาย ๆ ปีก็ได้ . 6..เรื่องการฝีกฝนนั้น ท่านผู้อ่านต้องทำเอง แต่สิ่งทีผู้เขียนจะขอแนะนำท่านทีเข้ามาอ่าน ทีต้องการได้มรรคผลว่า >> ขอให้หมั่นฝีกฝน ควรทำทุกวัน แต่อย่าได้หักโหม เช่นฝีกวีนละหลาย ๆ ชั่วโมง >> ให้มีชีวิตปกติต่อไป พบปะผู้คนปกติ ไปทำงานปกติ ถ้ามีอารมณ์ปรุงแต่งเกิดขึ้น ดูว่า สามารถแยกรุปนามได้หรือยัง ถ้ายังไม่ได้ ก็ให้ฝีกฝนต่อไปอีก อย่ายอมแพ้ อย่าทิ้งความเพียร >> อย่าได้เก็บตัวเงียบ ไม่พบปะผู้คน หลบหนีทุกข์ใจ เพราะการหลบหนีทุกข์ ไม่อาจทำให้จิตมีการพัฒนาตัวขึ้นมาได้เลย แต่ถ้าทุกข์ใจเกิดมา ดับไม่ลง ดับได้ยาก ให้ทำการหายใจเข้าแรง ๆ หลาย ๆ ครั้ง อาการทุกข์ใจจะลดลงไปได้มากทีเดียว ..หมายเหตุ ให้เพียงหายใจเข้าแรง ๆ แต่หายใจออกให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ อย่าไปบังตับให้หายใจออกแรง ผู้เขียน หวังว่า บทความนี้ คงมีประโยชน์ต่อท่านทีเข้ามาอ่าน ไม่มากก็น้อย ธรรมนั้นจะคุ้มครองผู้มีมีสติ
Create Date : 16 มีนาคม 2564
Last Update : 19 มีนาคม 2564 14:20:12 น.
0 comments
Counter : 750 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****