รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2564
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
16 มีนาคม 2564
 
All Blogs
 
ปฏิบัติธรรมอย่างไร จึงจะมีวิปัสสนาทีเห็นการเกิดดับของจิตปรุงแต่งได้

1...บทความนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวล้วน ๆ   ท่านทีเข้ามาอ่าน แนะนำให้อ่านด้วยวิจารณญาณ
และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อความเจริญในธรรมสืบต่อไป
.
ก่อนทีจะอ่านต่อไป แนะนำให้อาน 2 เรื่องนี้ก่อน เพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจก่อนทีจะอ่านต่อไป
ถ้าไม่อ่านก่อน จะอ่านบทความทีจะเขียนเรื่องวิปัสสนาทีเห็นการเกิดดับไม่เข้าใจ
.
>>>เรื่องแนะนำอ่านเรื่องที่ 1
เจ้าชายสิทธัตถะทรงรู้อะไรในคืนวันตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=16-12-2019&group=17&gblog=182

>>>เรื่องแนะนำอ่านเรื่องที่ 2
ทุกข์ทางใจ ทุกข์ทางกาย ในการภาวนา เป็นอย่างไร

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=03-2021&date=11&group=17&gblog=209
.
2..ท่านทีเข้ามาอ่านบทความทีแนะนำอ่านก่อน 2 เรื่องแล้ว ต่อไป ขอให้อ่านต่อไปได้แล้วครับ
3..จิตปรุงแต่งของคนเรานั้น เกิดขึ้นที เรือน (คำว่า เรือน มีอธิบายอยู่ในเรื่องทีแนะนำให้อ่านก่อน ) ซี่ง การกิดจิตปรุงแต่งขี้นได้นั้น จะมีขบวนการดังนี้
>> A..  เริ่มจากมีผัสสะเข้ามาที่อายตนะก่อน  เช่น ตามองเห็นสิ่งต่่าง ๆ  หูได่ยินเสียง
>> B..  เมื่อมีผัสสะเข้ามาทีอายตนะแล้ว คนที่มีตัณหาในจิต ก็จะไปสร้างขันธ์ 5 ทีเรือนขึ้น
ขันธ์ 5 ทีเกิดขึ้นทีเรือนนี้ ทำให้คนเราสามรรถนึกคิดได้ เข้าใจในเรื่องราวทีรับรู้เข้ามาทางอายตนะได้  ซี่งในวงการภาวนา เรียกว่า มีความคิด เกิดขึ้น
>> C.. เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น จิตตัวรู้ ( มีกล่าวถึงในบทความแนะนำอ่าน ) จะถูกดูดเข้ามาที เรือน
เมื่อ จิตตัวรู้ ถูกดูดเข้ามาทีเรือนแล้ว ถ้ามีการปรุงแต่งทีเป็นอาการพอใจ หรือ ไม่พอใจ เกิดขึ้น
การปรุงแต่งนั้นจะอยู่ได้ยาวนาน และทำให้คนทีมีอารมณ์ปรุงแต่งเกิดนั้น ตกเป็นทาสของอารมณ์ปรุงแต่งไปทันที ( ภาษาธรรมเรียกว่า มีโมหะครอบงำจิตเกิดขึ้น  )  และเกิดมิจฉาทิฐิขึ้นว่า อารมณ์ปรุงแต่งนี้ เป็นเรา เรามีอารมณ์ปรุงแต่งทีกำลังเกิดอยู่นี้ ( ภาษาธรรมเรียกว่า การมีมิจฉาทิฐิ )
.
4..จากข้อ 3 ข้อย่อย >>C จะเห็นว่า เงื่อนไขสำคัญทีเกิดการปรุงแต่งอยู่ยาวนานก็คือ จิตตัวรู้ ถูกดูดเข้าไปใน <เรือน> ด้วยแรงตัณหา
ถ้า จิตตัวรู้ สามารถ หลุดออกจากการดึงดูดทีเรือนได้เมื่อใด จิตตัวรู้ไม่อยู่ในเรือนอีกแล้ว  อาการจิตปรุงแต่งทีเรือนก็จะดับลงไปแล้วสลายไปเป็นไตรลักษณ์ ซี่ง จิตตัวรุ้ ทีหลุดออกจากเรือนจะเห็นอาการไตรลักษณ์นี้ได้ด้วย
(ภาษาธรรม เรียกการหลุดออกนี้ ไม่รวมกับเรื่อนนี้ว่า การแยกรูปนาม หรือ วิปัสสนาญาณชั้นที่ 1 ของ วิปัสสนาญาณ 16 ขั้น )  

เมือ่การแยกรูปนามหรือการหลุดออกจากเรือนได้ของจิตตัวรูู้  ได้เกิดขึ้น
สิ่งทีจะตามมาก็คือ จิตมีประสบการณ์ของสัมมาสมาธิ เพิ่มขึ้นจากเดิม
และการทีจิตตัวรู้ เห็นไตรลักษณ์ของอารมณ์ปรุงแต่งได้ สิ่งทีจะได้คือ ปัญญา
ทำให้เห็นได้ว่า อารมณ์ปรุงแต่งนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา
การหลุดออกนี้ ใช้เวลาสั้นมาก ๆ สั้นประมาณการพริบตา ก็สำเร็จแลว
ทุกข์จึงดับไปได้เร็ว

อาการหลุดแบบนี้ เกิดในคนทีมีการฝีกฝนสติปัฏฐาน 4 มาบ้างและจิตมีกำลังของ
สัมมาสมาธิตั้งมั่นพอสมควรแล้ว
.
แต่ถ้าจิตตัวรู้ ไม่สามารถหลุดออกมาจากเรือนได้ด้วยกำลังจิตแบบการแยกรูปนาม  จะได้ผลดังนี้
อารมณ์ปรุงแต่งจะเกิดต่อเนืองได้ยาวนาน ทำให้จมอยู่ในทุกข์ต่อไปอีกยาวนาน
เมื่อเวลาผ่านไป อารมณ์ปรุงแต่งก็จะสามารถค่อย ๆ ดับลงไปได้เอง  แต่จะใช้เวลานาน
การดับไปเองด้วยการใช้เวลานานในการดับ  ทำให้ไม่มีปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของจิตปรุงแต่ง จึงไม่มีปัญญาเกิด ยังมีมิจฉาทิฐิอยู่ว่า การปรุงแต่งนั้นเป็นเรา เรามีอารมณ์ปรุงแต่ง และ การปล่อยให้ดับไปเองแบบนี้ ไม่มีผลต่อการพัฒนาสัมมาสมาธิให้มีพลังมากขึ้น

ซี่งอาการแบบนี้ เกิดในคนทั่วไป ทีไม่มีการฝีกฝนสติปัฏฐาน 4
หรือ คนทีปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 มาแต่ฝีกแล้วยังไม่มีกำลังของสัมมาสมาธิเกิดขึ้นมากพอ
.
5..การแก้ไขทุกข์นั้น แนะนำว่า ควรแก้ทีตนเหตุ ไม่ใช่ปล่อยให้ทุกข์เกิดแล้วดับไปเองตามเวลาทีผ่านไป  ซึ่งการแก้ที่ต้นเหตุ จะทำให้เกิดปัญญา และ มรรคผลในพุทธศาสนาต่อไปได้
.
คำถามทีคงจะมีเกิดขึ้นต่อท่านทีเป็นนักภาวนาทีต้องการพบมรรคผลว่า จะทำให้อย่างไร จิตของตนจึงจะมีความสามารถในการแยกรูปนามนี้ได้
คำตอบจากผู้เขียนก็คือ  การฝีกฝนสติปัฏฐานอย่างต่อเนื่อง ฝีกทุกวัน แต่ไม่หักโหมเกินไป
.
เนื่องจาก สติปัฏฐาน 4 มีด้วยการหลายหมวด และ ยังมีข้อย่อยในแต่ละหมวดอีก
จะใช้หมวดใดในการฝีกฝนจึงจะเหมาะแก่ตนเอง และ ควรรับการฝีกในสำนักใดจึงจะดีสำหรับตน
.
คำถามนี้ ผู้เขียนยากทีจะตอบได้ เพราะจริตคนนั้นต่างกัน สิ่งแวดล้อมก็ต่างกัน
จึงเป็นสิ่งทีท่านผู้อ่านคงจะต้องทดลองดูเองว่า เมื่อได้ฝีกฝนตามวิธีการใด ของสำนักใดไปแล้ว
จิตจะมีความสามรถทีจะเกิดขบวนการแยกรูปนามได้หรือไม่
ถ้ายังไม่ได้ ก็อาจเป็นว่า ยังฝีกไม่ได้ที่ดีนัก หรือ สิ่งทีฝึกไม่ถูกจริตของตน
.
แต่การฝีกฝน อย่าได้ด่วนสรุปว่า สิ่งทีตนฝีกนั้นใช้ไม่ได้ แยกรูปนามไม่ได้
เพราะขบวนการบ่มเพาะกำลังจิตและประสบการณ์แยกรุปนามได้ ต้องใช้เวลา
ค่อนข้างนาน บางคนอาจเป็นหลาย ๆ เดือน หรือ เป็นปี จึงจะได้ครั้งแรก
แต่พอได้ครั้งแรกแล้ว ก็พบว่า ต่อมาก็แยกไม่ได้อีก  และอีกนาน
กว่าจะแยกรูปนามได้เป็นครั้งที่สอง ครั้งทีสาม สี่ ห้า ......
แต่ถ้าหมั่นฝีกฝนต่อไป ก็จะค่อย ๆพัฒนากำลังจิตให้มีพลังมากขึ้นเอง แต่ต้องใช้เวลานาน
เป็นปี หรือ หลาย ๆ ปีก็ได้ 
.
6..เรื่องการฝีกฝนนั้น ท่านผู้อ่านต้องทำเอง แต่สิ่งทีผู้เขียนจะขอแนะนำท่านทีเข้ามาอ่าน ทีต้องการได้มรรคผลว่า  
>> ขอให้หมั่นฝีกฝน ควรทำทุกวัน แต่อย่าได้หักโหม เช่นฝีกวีนละหลาย ๆ ชั่วโมง
>> ให้มีชีวิตปกติต่อไป  พบปะผู้คนปกติ ไปทำงานปกติ ถ้ามีอารมณ์ปรุงแต่งเกิดขึ้น ดูว่า สามารถแยกรุปนามได้หรือยัง ถ้ายังไม่ได้ ก็ให้ฝีกฝนต่อไปอีก   อย่ายอมแพ้ อย่าทิ้งความเพียร
>> อย่าได้เก็บตัวเงียบ ไม่พบปะผู้คน หลบหนีทุกข์ใจ เพราะการหลบหนีทุกข์ ไม่อาจทำให้จิตมีการพัฒนาตัวขึ้นมาได้เลย  แต่ถ้าทุกข์ใจเกิดมา ดับไม่ลง ดับได้ยาก ให้ทำการหายใจเข้าแรง  ๆ  หลาย ๆ ครั้ง อาการทุกข์ใจจะลดลงไปได้มากทีเดียว ..หมายเหตุ ให้เพียงหายใจเข้าแรง ๆ แต่หายใจออกให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ อย่าไปบังตับให้หายใจออกแรง 

ผู้เขียน หวังว่า บทความนี้ คงมีประโยชน์ต่อท่านทีเข้ามาอ่าน ไม่มากก็น้อย

ธรรมนั้นจะคุ้มครองผู้มีมีสติ 




 


Create Date : 16 มีนาคม 2564
Last Update : 19 มีนาคม 2564 14:20:12 น. 0 comments
Counter : 750 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.