รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2564
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 มีนาคม 2564
 
All Blogs
 
ในการปฏิบัติสติปัฏฐานทุกหมวดหมู่ ปลายทางอยู่ที่ *อาการรู้* ได้เกิดขึ้น

1....บทความเรื่อง <ในการปฏิบัติสติปัฏฐานทุกหมวดหมู่ ปลายทางอยู่ที่ *อาการรู้* ได้เกิดขึ้น> บทความนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวล้วน ๆ   ท่านทีเข้ามาอ่าน แนะนำให้อ่านด้วยวิจารณญาณ และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อความเจริญในธรรมสืบต่อไป
.
2...ถ้าท่านหงายฝ่ามือขึ้น  ท่านจะไม่พบ หลังมือ  แต่ถ้าท่านพลิกหลังมือขึ้น ท่านจะไม่เห็นฝ่ามือ
แต่ถ้าท่านพลิกสันมือขึ้น ท่านจะเห็นทั้งฝ่ามือและหลังมือ แต่เป็นการเห็นด้านข้าง
.
อาการทีพบได้เพียงอย่างเดียว จะเหมือนกับอาการของ การรู้ และ ความคิด แต่ถ้าเมื่อใดที การรู้ มีประสิทธิภาพ สูงขึ้นอย่างถึงทีสุด  อาการรู้ ก็มีอยู่ได้ในขณะที มีความคิด เกิดอยู่

3..อาการรู้ และ ความคิด เหตุมาจากอะไรจึงเกิดขึ้นมาได้
            ในตัวจิตนั้น จะมี 2 ส่วน คือ ส่วนทีเป็น จิตตัวรู้ และ ส่วนทีเป็น จิตพลังงาน
เมื่อ จิตพลังงาน ทำงาน ความคิด ก็เกิดขึ้นทันที
แต่ถ้าเมื่อใด ที จิตตัวรู้ ทำงาน อาการรู้ ก็เกิดขึ้นทันที

4..เมื่อ มนุษย์ เกิดมา ตัวจิตจะมี ตัณหา อยู่ด้วยเสมอ ถ้าไม่มี ตัณหาในจิต การเกิดก็จะหยุดอยู่แค่นั้นเมื่อชีวิตได้ดับลงไปในชาติก่อน

ตัณหา นี้ เปรียบได้ดัง กาวตราช้าง ทีมีพลังการยีดเกาะอย่างเหนียวแน่น
พลังตัณหานี้ จะยีดติด จิตพลังงานและจิตตัวรู้ ให้ติดกันจนแยกไม่ออก
เมื่อจิตทั้งสองติดกันอยู่  ในขณะทีจิตพลังงานทำงานนั้น จะเกิดพลังงานล้อมรอบจิตตัวรู้
ซี่งตำราเรียกว่า โมหะ ทำให้จิตตัวรู้ไม่มีความสามารถในการทำงานได้  เมื่อมีโมหะล้อมอยู่
จิตตัวรู้ ไม่มีพลังทำงาน อาการรู้ จึงไม่เกิดขึ้น
จิตตัวรู้ จึงตกอยู่ใต้อำนาจของการปรุงแต่งอยู่เสมอ ( ตำราเรียกว่า กิเลส อันได้แก่ โมหะ โทสะ โลภะ )

5..ทำอย่างไร จึงให้ จิตตัวรู้ หลุดจากการยีดติดกับ จิตพลังงาน ได้
      เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ แล้วประกาศพรหมจรรย์ พระองค์ได้ทรงตรัสสอนแก่
เหล่าพุทธศาสนิกชนเรื่องของ สติปัฏฐาน 4 ทีพระองค์ทรงตรัสว่า นีคือทางสายเอกทีจะนำพาสัตว์ให้พ้นไปจากกองทุกข์ได้  ซี่งการพ้นไปจากกองทุกข์นั้น ก็คือ การทีจิตตัวรู้ ได้หลุดออกจากการยีดติดกับตัวจิตพลังงานนั้นเอง

   เมื่อได้ลงมือปฏิบัติฝีกฝน สติปัฏฐาน ไม่ว่าหมวดใด ถ้านักภาวนาเข้าใจในการปฏิบัติว่า ปฏิบัติแบบนี้ คือ สติปัฏฐาน ทีตรงตามคำสอนของพระพุทธองค์อย่างแน่นอน  โดยไม่หลงไปปฏิบัติตามแนวทางแห่งฤาษี  ผลแห่งการปฏิบัติสติปัฏฐานทีตรงทางแห่งมรรคที่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์  จักส่งผลให้เกิด จิตตัวรู้ มีพลังมากพอ ทีจะแยกตัวออมาจากจิตพลังงานได้ 
.
6..จิตตัวรู้ ที่แยกตัวออกมาจากจิตพลังงาน แสดงว่า ตอนนั้น สัมมาสมาธิ ได้เกิดขึ้นในจิต
          พลังในการแยกตัวออกมาของจิตตัวรู้ จากจิตพลังงาน ก็คือ พลังอำนาจของสัมมาสมาธิ นั้นเอง แต่การแยกตัวออกมานั้น พลังของสัมมาสมาธิ นั้นจะมีระดับอยู่ 3 ระดับ (ว่ากันตามตำราคือ ขณิกสมาธิ  อุปจาระสมาธิ อัปปนาสมาธิ )  แต่ทุกระดับของสมาธิ นั้น จะมี 2 สิ่งเกิดขึ้น คือ
         >>>> 1..จิตตัวรู้ สามารถ รู้ลมหายใจได้เอง โดยไม่ต้องมีการกระทำใด ๆ เพื่อให้รู้ลมหายใจ และ อาการของลมหายใจนี้ จะไร้ทีตั้งอยู่ จะ ลอย ๆ  ไม่รู้อยู่ทีใด ไม่ใช่อยู่ทีท้อง ไม่ใข่อยู่ทีปลายจมูก หรือ ไม่ได้อยู่ทีอวัยวะใด ๆ ของร่างกายเลย แต่นักภาวนาจะรู้ได้ว่า รู้อยุ่ว่ามีลมหายใจปรากฏขึ้น
        >>>> 2..จิตตัวรู้ แยกตัวออกมาจากจิตพลังงาน  (ถ้านักภาวนา มี ญาณปัญญา มีดวงตาเห็นธรรม ก็จะสามารถเห็นอาการนี้ได้ว่า จิตทั้งสองนี้ แยกตัวออกจากกันอยู่ )

7...จากข้อ ุ6  อาการของสัมมาสมาธิ แม้เพียง ขณิกสมาธิ ก็ยังเกิดขึ้นไม่ได้สำหรับ ปุถุชน ผู้ทีไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน  การเกิดขึ้นก่อนของ สัมมาสมาธิ ระดับเริ่มต้น หรือ ขณิกสมาธิ นั้น จะมาจากการฝีกฝน สัมมาสติ ในสติปัฏฐานก่อน  โดยการฝีกฝนสัมมาสติ ในสติปัฏฐาน นี้อย่างถูกทางถุกต้อง ไม่หลงไปฝีกแบบฤาษี
จิตตัวรู้ จะได้รับอาหารจากการฝีกสัมมาสตินี้ไปเรื่อยๆ   ซี่งครูบาอาจารย์บางท่านจะเรียกการทีจิตกินอาหารของจิตตัวรู้ นี้ว่า * การบ่มรู้ *
       เมื่อ จิตตัวรู้กินอาหารได้มากพอเป็นระยะเวลาหนี่งทีมาจากการฝีกฝนสติปัฏฐานทีตรงทางแห่งมรรค จิตตัวรุ้จะมีพลังภายในตัวเองซ่อนอยู่  ในจัวหวะทีดีพอ เมื่อ จิตพลังงาน ทำงานสร้างทุกข์ขึ้นมา จิตตัวรู้ ทีมีพลังภายในตัวเองซ่อนอยุ่ ก็จะดีดตัวเองหลุดออกมาจาก ทุกข์ ทีจิตพลังงานสร้างขึ้นมา
        นักภาวนาจะเห็น อาการของทุกข์ ทีเกิดอยู่ ได้ดับสลายลงไปเป็นไตรลักษณ์ได้อย่างรวดเร็ว
ซี่งอาการทีเห็นได้แบบนี้ ก็คือ จิตตัวรุ้ ได้สัมมาสมาธิ ระดับ ขณิกสมาธิ แว๊บเดียว แล้วสัมมาสมาธิ ก็จะดับลงไปเช่นกัน  ซี่งอาการนี้ จะมีครูบาอาจารย์ทีได้เขียนเรื่อง วิปัสสนาญาณ 16 ขั้น 
การทีเกิดสัมมาสมาธิ ระดับขณิกสมาธิ แบบนี้ ก็จะเรียกว่า เป็นวิปัสสนาญาณขั้นที่ 1 หรือ ขั้นการแยกรูปนาม 

8..... ขณิกสมาธิทีเป็นขั้นแยกรูปนามได้ จิตตัวรู้ ยังไม่มีพลังมากพอในการต่อสู้กับทุกข์ทีจิตพลังงานสร้างขึ้นมาได้ทุกครั้งไป

         การได้ขณิกสมาธิ 1 ครั้ง นักภาวนาหลาย ๆ ท่านจะเข้าใจว่า นีคือ การพบธรรมแล้ว สำเร็จธรรมแล้ว ซี่งความเข้าใจนี้ เป็นความเข้าใจทีคลาดเคลื่อน  แต่มีส่วนนักภาวนายังไม่รู้จัก  ก็คือ การพบธรรมแบบนี้ จิตตัวรู้ยังไม่มั่นคงพอทีจิตตัวรู้จะต่อสู้กับทุกข์ทีเกิดขึ้นได้ทุกครั้งไป นักภาวนายังต้องหมั่นฝีกฝน สัมมาสติ  ให้จิตตัวรุ้ เกิดอาการ บ่มรู้ ต่อไปเรื่อยๆ  ให้จิตตัวรู้ มีอาหารกินได้บ่อย ๆ จนจิตตัวรุ้ มีพลังมากขึ้นอีก จิตตัวรู้ ทีมีพลังมากขึ้น ก็จะสามารถหลุดจากทุกข์ได้ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ใช่ว่า จะหลุดทุกข์ได้ทุกครั้งทีทุกข์ที่เกิดขึ้น

        ประสบการทีหลุดออกจากทุกข์ได้ของจิตตัวรู้ ทีผ่านมาหลายๆ รอบ จะทำให้จิตตัวรุ้ มีประสบการและอำนาจของสัมมาสมธิ ทีเพิ่มขึ้นจาก ขณิกสมาธิ เป็น อุปจาระสมาธิ ได้
ซี่งนักภาวนาทีปฏิบัติทีพบทุกข์ แล้ว หลุดทุกได้มากครั้งแบบนี้ มักจะเกิด ดวงตาเห็นธรรม ขึ้นมา
ได้เอง

      การพบทุกข์และหลุดทุกข์ได้มากครั้งยิ่งขึ้น จะทำให้นักภาวนาจะรู้จัก จิตตัวรู้ และ จิตพลังงาน ด้วยการเห็นด้วย ดวงตาเห็นธรรม ทีเกิดขึ้น ซี่ง จะทำให้ นักภาวนาเห็นได้ว่า บัดนี้ จิตทั้งสองนี้ สามารถแยกออกมาจากกันได้แล้วเป็น 2 ส่วน แต่ถ้าเมื่อใด ทีนักภาวนาเผลอ จิตทั้งสองส่วนนี้ ก็จะมารวมติดกันได้อีก แล้ว ทุกข์ก็จะเกิดขึ้นได้ จากการรวมตัวของจิตทั้งสองนี้

9......การหมั่นฝีกฝน บ่มรู้ จิตตัวรู้ ยังคงดำเนินต่อไป ด้วยการพบทุกข์ และ หลุดออกจากทุกข์ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า  แล้ววันหนี่ง นักภาวนาจะพบกับ *สภาวะอาการรู้*  ทีมาจากตัวจิตตัวรู้ ได้เอง (ขอให้รอเวลาให้เกิดอาการนี้ขึ้นมาได้เอง )
       เมื่อนักภาวนาพบ สภาวะอาการรู้ นี้ได้เมื่อใด ก็ขอให้มีอาการสภาวะรู้ ปรากฏอยู่เสมอ ไม่ให้ขาดตัวลง ไม่ว่า จะทำกิจการงานใด ก็ให้สภาวะรู้ ปรากฏตัวอยู่ด้วยเสมอ  ถ้านักภาวนาปฏิบัติจนได้แบบนี้ ทีว่า สภาวะรู้ ไม่ขาดหายไปเลย ไม่ว่า จะทำอะไร จะคิดอะไรอยุู่  
นี่คือ นักภาวนาได้พบปลายทางแห่งสติปัฏฐานแล้ว
      สภาวะอาการรู้ นี้ จะรู้ได้อย่างไรว่า ใช่แล้ว เรื่องนี้ ไม่เป็นปัญหาเลย  ถ้านักปฏิบัติพบสภาวะธรรมแล้ว ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ นี่แสดงว่า ยังมีอาการไม่เข้าใจอยุ่ มีอาการจิตสงสัยเกิดขึ้นอยู่ นี่เป็นการแสดงให้รุ้ได้ว่า การภาวนาของท่านเอง ยังไม่ถึงปลายทางแห่งสติปัฏฐาน แต่ถ้าเมื่อใด ทีท่านนักภาวนาพบอาการของธรรม แล้ว รู้ด้วยความมั่นใจว่า  นี่ใช่แล้ว สภาวะรู้ เป็นแบบนี้เอง เกิดขึ้นแล้ว ถ้าเป็นแบบนั่นแหละ ท่านนักภาวนาได้ถึงปลายทางแห่งสติปัฏฐานได้แล้ว

10..ปลายทางแห่งสติปัฏฐาน ยังไม่ใช่ทีสุดแห่งธรรม  
         พระพุทธองค์ทรงเปรียบธรรมดังใบไม้ในป่าใหญ๋  ธรรมทีได้จากสติปัฏฐานนี้ เป็นเพียงใบไม้ในกำมือ ถ้านักภาวนา ยังคงฝีกฝนจิตไปเรื่อยๆ  ก็จะพบธรรมมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ดังทีพระพุทธองค์ทรงเปรียบไว้ดังไบไม้ในป่าใหญ๋
        สติปัฏฐาน เป็นเพียงใบไม้ในกำมือ แต่ใบไม้สติปัฏฐานนี้ ก็เป็น ทางอันเอก ทีทำให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง ถ้าได้ภาวนาจนจึงปลายทางได้

11..สรุป การปฏิบัติธรรมตามสติปัฏฐานมาถึงปลายทางได้อย่างไร
ขั้นที่ 1  หมั่น บ่มรู้ ให้อาหารจิตตัวรู้ ด้วย สติปัฏฐาน ตามองค์มรรค ไม่ผิดเพี้ยนไปสู่ทิศทางของฤาษี
ขั้นที่ 2  ให้จิตตัวรู้ พบทุกข์ ทีเกิดมาบ่อยๆ   พร้อมกับการฝีกฝนในขั้นที่ 1 ถ้าจิตตัวรู้ มีพลังจิตซ่อนในตัวมากพอ จิตตัวรู้ จะได้ วิปัสสนาญาณขั้นที่ 1 หรือ ได้จิตตัวรุ้ ทีมีพลังระดับ ขณิกสมาธิ ได้
ขั้นที่  3  ให้ฝีกฝน บ่มรุ้ จิตตัวรุ้ ต่อไปอีกเรื่อยๆ  พบทุกข์หลาย ๆ ครั้ง หลุดทุกข์ได้หลาย ๆ ครั้ง จนเกิดดวงตาเห็นธรรม  (จิตได้อุปจาระสมาธิ )
ขั้นที่ 4   ให้ฝีกฝน บ่มรุ้ จิตตัวรุ้ ต่อไปอีกเรื่อยๆ  พบทุกข์หลาย ๆ ครั้ง หลุดทุกข์ได้หลาย ๆ ครั้ง จนสภาวะรู้เกิดขึ้น (จิตได้อัปนาสมาธิ )
ขั้นที่ 5  จิตหมดสงสัยในการภาวนาแบบสติปัฏฐาน ก็คือ พบปลายทางของสติปัฏฐานได้แล้ว

 


Create Date : 25 มีนาคม 2564
Last Update : 1 เมษายน 2564 15:01:25 น. 0 comments
Counter : 603 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.