คำถามจากมือใหม่นักภาวนา
3)เวลาเรามีเวลาว่างแล้วมานั่งภาวนานั้นไม่เหมือนเราตั้งใจจะภาวนาหรือคะ เพราะอาจารย์บอกว่าไม่อยากให้ตั้งใจภาวนา และภาวนาในรูปแบบหมายถึงอะไรคะ . ตอบ.. ผมจะนำข้อนี้ขึ้นมาก่อน เพื่อให้เข้าใจ การภาวนาในรูปแบบ หมายถึง การที่เราไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย แต่ต้องการฝีกฝนการภาวนา การภาวนาตามรูปแบบที่นิยมกัน เช่น การเฝ้ารู้ลมหายใจ การเดินจงกรม การฝีกเคลื่อนไหวแบบหลวง พ่อเทียน และ การบริกรรมต่าง ๆ การภาวนาตามรูปแบบนั้น นักภาาวนาไม่ทำอย่างอื่น นอกจากการภาวนา เช่น การเฝ้าดูลมหายใจ ก็จะทำแต่เฝ้าดูลมหายใจ จะไม่ไปล้างจาน ไปอาบน้ำ หรือ อื่น ๆ เพราะการภาวนานั้นมี 2 ลักษณะคือ การทำตามรูปแบบ ที่ทำการภาวนาอย่างเดียว ไม่ทำกิจการทางโลกควบคู่ไปด้วย และการภาวนาในชีวิตประจำวัน คือ การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันแล้วก็ภาวนาไปด้วย เช่น ถ้าเราล้างจาน เราก็ภาวนาไปด้วยได้ จานก็ล้างไป เมื่อเมื่อจับสัมผัสจาน สัมผัสน้ำ สัมผัสฟองน้ำล้างจาน ก็รู้สึกถึงอาการสัมผัสนั้น ๆ ด้วย นี่คือ การภาวนาในชีวิตประจำวัน ข้อแตกต่าง ข้อดี ข้อเสีย ของการภาวนาทั้ง 2 แบบ นั้น การทำในรููปแบบ เหมาะสำหรับคนมีเวลาว่างแล้วมาทำ ข้อดีก็คือ นักภาวนาไม่ต้องไปทำอย่างอื่น จึงมุ่งที่เรื่องนี้ได้เต็มที แต่ถ้านักภาวนามุ่งมั่นเกินไป ก็จะไม่เป็นผลดีต่อการภาวนาเพราะจะไมเข้าสู่ธรรมชาติได้ การภาวนาในชีวิตประจำวัน ข้อดีคือ เป็นธรรมชาติมากกว่า และเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาว่าง แต่ข้อเสียก็คือ นักภาวนามักจะลืม มักจะเผลอ ไม่รับรู้ความรูุ้สึกการสัมผัสที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แต่ถ้านักภาวนาไม่เผลอ ไม่ลืมการผัมผัส คือ ลืมได้บ้างแต่ก็กลับมารู้สึกได้อีก อย่างนี้จะดีกว่า เพราะเป็นธรรมชาติมากกว่า 1) อาจารย์บอกว่าอย่าพยายามภาวนามันไม่เกิดผลในกิจกรรมประจำวันของดิฉันนะคะเวลาดิฉันจะคุยทำครัวหรืออย่างอื่น ดิฉันก็ทำตามปรกติมันเหมือนกับเบื้องหน้าแต่เบื้องหลังในช่วงต่างๆเหล่านั้นมันเหมือนกับดิฉันภาวนาคือรู้สึกดินและลมไป มันเหมือนกับมีฉาก สองฉากซ้อนกันอันหนึ่งก็สิ่งที่ทำอยู่อีกอันหนึ่งก็ภาวนา ตอบ..อย่าไปกังวล / อย่าไปสนใจ เรื่องการซ้อนกันเป็นสองฉาก มันจะมีสองฉากก็ช่าง ไม่มีก็ช่าาง ให้ทำไปแบบการภาวนาในชีวิตประจำวัน แล้วก้รู้สึกถีงการสัมผัสที่เป็นดิน ที่เป้นลมไปเรื่อย ๆ แค่นี้ก็พอครับ 2)เวลาก่อนนอนดิฉันปิดตาแต่ตอนยังไม่หลับก็ทำการรู้ดินรู้ลมไปโดยไม่ได้ลืมตา ไม่ทราบว่าถือว่าเป็นการภาวนาหรือเปล่าเพราะเหมือนอาจารย์บอกว่าเวลาภาวนาต้องลืมตา . . ตอบ ถ้าไม่ใช่การนอน ก็อย่าหลับตา แต่ถ้าจะนอน ก็หลับตาได้ครับ เราพยายามทำให้เป็นธรรมชาติเข้าไว้ เพราะถ้าไม่ใช่การนอน การหลับตาก็ไม่เป็นธรรมชาติ และเวลานอน ถ้าไปลืมตาก็ไม่ใช่ธรรมชาติอีกเช่นกัน 4)อาจารย์บอกว่าเวลาเราจับน้ำแข็งเรารู้สืกเย็นนั่นคือจิตรู้สืก ดังนั้นเวลาลมพัดอากาศหนาวก็เป็นความรู้สึกจากจิตโดยตรงมันไม่ได้มาจากความนืกคิดหรือความรู้สึก ได้เช่นความคิดหรือความรู้สึกถึงความเย็นจากการจับน้ำแข็งมันไม่เหมือนกับเวลาจับน้ำแข็งจริงใช่ไหมคะ ตอบ เวลารูุ้สึกความเย็นถึงการจับน้ำแข็งหรือลมหนาวมาโดนตัว ก็จะเหมือนกันครับ ไม่ใช่การนีกคิด อย่างนี้จิตรู้สึกแล้ว ผมจะยกตัวอย่างความคิดให้ดู ให้ลองนีกถีงเราเอาน้ำมะนาวมาบีบใส่ปากซิครับ พอคิดเท่านั้น น้ำลายออกมาเลย นี่คือการนีกคิดทั้ง ๆ ยังไม่มีน้ำมะนาวมาใส่ปากแต่อย่างใด 5) อาจารย์บอกว่าบางคนเวลาเผลอเช่นคิดไปว่าเดี๋ยวจะไปThe Mallไปซื้อของแล้ว... ต่อไปยาวสำหรับดิฉันเวลาเผลอนะคะบางทีแค่คำว่าเดี๋ยวขึ้นมาก็รู้ตัวว่าเผลอก็กลับมาภาวนา อย่างเดิมแต่บางทีก็เผลอยาวเวลาเราเผลอยาวหรือเผลอสั้นเป็นเพราะอะไรคะ ตอบ การเผลอยาวหรือสั้น ขึ้นกับเหตุ 2 อย่าง คือ 1. จิตเรามีความกังวลอะไรอยู่หรือไม่ ถ้ามีก็จะเผลอยาว เพราะจิตจะไปวนเวียนคิดแต่เรื่องทีกังวลใจอยู่ แต่ถ้าไม่มีความกังวลก็จะเผลอสั้น 2. กำลังจิตของเราเข้มแข็งดีหรือไม่ ถ้าคนทีกำลังจิตเข็มแข็งเพราะฝีกบ่อยๆ อย่างนี้จะเผลอสั้น ๆ คือ เผลอแล้วกลับมารู้สึกตัวได้เร็วกว่า ไม่เผลอยาว 6)ตามข้อหนึ่งที่เรียนอาจารย์ คือช่วงทำกิจกรรมประจำวันแม้นกระทั่งฟังเพลงหรือดูหนังแต่ลึก จากนั้นก็เหมือนดิฉันภาวนารู้ดินรู้ลมด้วยแม้นเวลาเขียนจดหมายถีงอาจารย์นี้ด้วยมีเผลอและทำ ต่อเมื่อนึกได้อาจารย์คิดว่านี่เป็นการภาวนาที่ใช้ได้ไหมคะ ตอบ..การภาวนาใหม่ๆ ก็เป็นแบบนี้ มีเผลอมีการกลับมาไม่เผลอได้อีก แต่ถ้าฝีกไปเรื่อยๆ การเผลอจะสั้นลงและการกลับมาจะเร็วขึ้น ให้เวลากับตนเองในการฝีกฝนไปเรื่อยๆ อย่าไปกังวลใจ เรื่องเผลอ ไม่เป็นผลดีครับ ทำตัวให้สบาย ๆ เป็นธรรมชาติให้มาก เผลอไปก็เริ่มใหม่ ไม่เป็นไร คล้าย ๆ คนหัดขี่จักรยาน กว่าจะขี่ได้เก่ง ก็จะล้มแล้วล้มอีก มันจะเป็นแบบนั้น เรื่องเผลอนี้ เวลาเรากลับมาเองได้อีกครั้ง มันจะเป็นข้อดีของจิตต่อไป อย่าได้รังเกียจการเผลอ แต่ขอให้มีการพัฒนาได้ก็พอ ถึงแม้จะช้าก็ยังดี แล้วพอพัฒนาไปเรื่อยๆ การเผลอนี้แหละ ทุกครั้งที่กลับมา ปัญญาของจิตจะเกิดขึ้นเอง
Create Date : 24 ตุลาคม 2555
Last Update : 24 ตุลาคม 2555 17:51:18 น.
1 comments
Counter : 1724 Pageviews.
โดย: นมสิการ วันที่: 24 ตุลาคม 2555 เวลา:16:10:24 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=10-2012&date=17&group=14&gblog=12